การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เดินทางมาถึง 2 ใน 3 ของการแข่งขันกันแล้ว โดยมีทาว “แชมป์เก่า” อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังคงมีโอกาสที่ดีในการป้องกันแชมป์
“เรือใบสีฟ้า” ของยอดกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้มีคะแนนนำจ่าฝูง ขณะที่ทาง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี รั้งอันดับ 2 และ 3 ไล่ตามลำดับ ถ้าจะพูดกันในทางทฤษฎี “หงส์แดง” และ “สิงห์บลูส์” ก็เรียกได้ว่ามีโอกาสที่จะแซง “เรือใบ” เพื่อคว้าแชมป์ได้ไม่ยาก แต่ที่จะพูดถึงต่อไปนี้คือ 5 ปัจจัยที่ตำแหน่งแชมป์ฤดูกาลนี้จะยังคงอยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม
1. เกมรุกหลากหลายแม้ไม่มีหน้าเป้า
หลังจากที่มีการปล่อยตัว เซร์คิโอ อเกวโร่ ออกจากทีม แมนฯ ซิตี้ ก็ยังไม่ได้เสริมกองหน้าตัวเป้ารายใดเข้ามาหลังจากที่ทีมพยายามดึงตัว แฮร์รี่ เคน มาแล้วแต่ก็ต้องถูกทาง สเปอร์ส ปฏิเสธ ทำให้มีเพียง กาเบรียล เชซุส เป็นกองหน้ารายเดียวเท่านั้น ทว่าทาง เชซุส ก็ไม่ได้ถูกใช้งานลงเป็นตัวจริงทุกนัด และก็มีอีกหลายนัดก็ถูกถ่างออกไปเล่นริมเส้นเพราะ เป๊ป ยึดระบบ “ฟอล์สไนล์ส” เป็นหลัก ยังมีตัวรุกอีกหลายต่อหลายคนทั้ง ฟิล โฟเด้น, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง หรือกระทั่ง เควิน เดอ บรอยน์ ต่างเคยขยับไปยืนหน้าเป้ามาแล้วทั้งหมด
จากที่น่าจะเป็นจุดอ่อนกับการที่ทีมเสียหน้าเป้าอาชีพ เลยกลายเป็นว่าทำให้คู่แข่งจับทางได้ยากเพราะผู้เล่นเกมรุกหลายคนพร้อมจะสอดเข้าไปในตำแหน่งที่ยิงประตูได้ และก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกทีมที่จะสามารถเล่นระบบฟอล์สไนล์สได้ แต่ด้วยคุณภาพ แมนฯ ซิตี้ จึงหาทางออกด้วยแท็กติกนี้ได้ยอดเยี่ยม
2. เกมรับดีสุด
นอกจาก แมนซิตี้ จะมีเกมรุกที่ดีสุดในลีกแล้ว แต่ในเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังเหนียวแน่นและเป็นทีมที่เสียประตูน้อยสุดในลีกเพียง 14 ประตูจาก 25 นัดแรก การมาของ รูเบน ดิอาส ในฤดูกาลที่แล้วช่วยเสริมให้เกมรับของซิตี้มีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ขณะที่ ชูเอา กานเซโล่ ก็ยกระดับกลายเป็นฟูลแบ็กที่ดีที่สุดในโลกอีกคนไปแล้ว
ผู้เล่นอื่นอย่าง เอ็มเมอริค ลาปอร์ตส์, จอห์น สโตนส์, ไคล์ วอล์คเกอร์ รวมถึงผู้รักษาประตู เอแดร์ซอน ทุกคนก็ยังคงเป็นผู้เล่นชั้นยอดที่เล่นร่วมกันมาหลายปี มีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี
3. มีความคงเส้นคงวาที่สุด
หากจะพูดถึงการลุ้นแชมป์ลีกที่แข่งกันยาวนาน 8-9 เดือน “ความคงเส้นคงวา” อาจจะเป็นคุณสมบัติหลักที่สำคัญของทีมที่จะเป็นแชมป์ซึ่งหากมองดูแล้วทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีจุดนี้มากกว่าทุกทีม
ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชนะได้มากถึง 20 จาก 25 นัด และแพ้เพียง 2 นัด โดยมีช่วงติดเครื่องชนะ 12 นัดรวดระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนทีมคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ชนะติดต่อกันได้มากสุด 6 นัด ขณะที่ เชลซี ทำได้เพียง 4 นัด
4. ประสบการณ์ของผู้เล่น
ผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ล้วนแล้วแต่มีผู้เล่นที่มากประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์มาแล้วทั้งหมด และแต่ละคนดีกรีไม่ธรรมดา ขุมกำลังส่วนใหญ่อยู่ในวัยที่พีคสุดของอาชีพคือช่วงอายุระหว่างปี 27-30 ปีไม่ว่าจะเป็น เควิน ดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, ชูเอา กานเซโล่ และ เอ็มเมอริค ลาปอร์ตส์ ฯลฯ
ส่วน รูเบน ดิอาส, โรดรี้, และ กาเบรียล เชซุส ที่อายุลดหลั่นลงมาก็ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มาไม่น้อยเหมือนกัน เช่นเดียวกับ ฟิล โฟเด้น เด็กปั้นสโมสรที่แม้อายุเพียง 21 ปี แต่ก็ผ่านการเล่นชุดใหญ่มาแล้วมาถึง 150 นัด และได้แชมป์รวมกันมากถึง 10 รายการ
5. “กึ๋น” ของ เป๊ป กวารดิโอล่า
เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้คือ มันสมองในการคุมทีมของยอดโค้ชอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
เป๊ป อาจจะพูดได้เลยว่าเขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลจากการที่ตัวเขานั้นสามารถคุมทัพคว้าแชมป์มากมายตั้งแต่สมัยคุม บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และปัจจุบันกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว 3 สมัยจาก 5 ฤดูกาลหลังสุด
ฤดูกาลนี้ เป๊ป ก็ยังคงพาทีมเอาตัวรอดในหลายต่อหลายนัดที่แม้เล่นภาพรวมของทีมจะเล่นได้ไม่ดีแต่ก็ยังชนะได้เช่นนัดที่บุกแซงชนะ อาร์เซน่อล 2-1 เมื่อวันขึ้นปีใหม่
การสร้างแรงกระตุ้นให้ทีมคืออีกสิ่งที่ เป๊ป เน้นอย่างมากเพราะโดยธรรมชาติของทีมที่เคยเป็นแชมป์มาแล้ว มักจะขาดบางสิ่งบางอย่างในตรงนี้ไปบ้าง เป๊ป จึงเตือนลูกทีมอยู่ตลอดว่าต้องพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด และห้ามประมาทหรือชะล่าใจโดยเด็ดขาด
สิ่งนี้ทำให้มาตรฐานเล่นของทาง แมนฯ ซิตี้ อยู่ในระดับที่สูงมาก ต่อให้เจอความท้าทายจาก ลิเวอร์พูล และทีมอื่นๆ ในทุกปีก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้แหละที่อาจจะทำให้พวกเขามีโอกาสมากกว่าทุกทีมสำหรับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้
รูป www.fcbarcelonanoticias.com, www.telegraph.co.uk, www.manchestereveningnews.co.uk
เนื้อข่าว m.thsport.com