โลกยังคงหมุนไปข้างหน้าตามกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการลูกหนัง ไม่มีใครคาดคิด หรือจินตนาการมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ ลิโอเนล เมสซี่ จะไม่ได้สวมเสื้อของ บาร์เซโลน่า อีกต่อไป
ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ สุดท้ายนี้คือห้วงเวลาที่แฟนบอล “อาซูลกราน่า” เจ็บปวดมากที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ชายที่เป็นดั่งฮีโร่ของสโมสรต้องโบกมือลาไปแบบที่พวกเขาไม่ต้องการ
ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาไปดู 10 โมเมนต์ที่เป็นที่สุดของ เมสซี่ เมื่อครั้งสวมเสื้อ บาร์เซโลน่า แม้วีรกรรมของชายร่างเล็กจะมาก และเลือกยากเหลือเกิน แต่นี้คือที่สุดที่เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนคงจะจดจำไปอีกนาน
สัญญากระดาษเช็ดปาก
นี่คือกระดาษเช็ดปากที่มีสมบัติล้ำค่า และมูลค่ามากที่สุดในโลกเลยก็ว่า เนื่องด้วยนี่คือสัญญาฉบับแรกระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน 2000 เมสซี่ ที่ตอนนั้นเพิ่งมีอายุเพียง 13 ปี ได้บินจากอาร์เจนติน่าเพื่อมาทดสอบฝีเท้ากับ บาร์เซโลน่า ซึ่งเจ้าตัวสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และผลงานก็ไปเข้าตา ชาร์ลี เรซัค เลขาธิการฝ่ายเทคนิคของสโมสร ที่เมื่อเห็นลีลาของเด็กคนนี้ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงฝีเท้าอันเอกอุเกินกว่าอายุของตัวเอง
แต่ทว่าการที่ บาร์เซโลน่า จะเซ็นสัญญากับ เมสซี่ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องด้วยเขาไม่ใช่นักเตะในยุโรป ทำให้มีเงื่อนไขหลายประกาย ทั้งต้องหางานให้พ่อของ เมสซี่ รวมไปถึงต้องรับผิดชอบค่าฉีดฮอร์โมนให้กับ เมสซี่ ทำให้เรื่องราวต้องผ่านไปหลายเดือนหลัง เมสซี่ บินมาทดสอบฝีเท้า จนคุณพ่อของเขาเริ่มไม่สบอารมณ์ และกำลังจะพาลูกชายไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอื่นแล้ว
จากนั้นช่วงเดือนธันวาคม ก็ได้มีการนัดพบกันระหว่าง ชาร์ลี เรซัค กับ แมวมอง และตัวแทนของ เมสซี่ ก่อนที่มีการพูดคุยกันถึงชื่อของ เมสซี่ และกดดันให้ บาร์เซโลน่า มอบสัญญาให้กับตัวของนักเตะ ทันใดนั้นทางฝั่ง เรซัค ก็ได้หยิบกระดาษทิชชู่พร้อมเขียนข้อความลงไปว่า
“ณ บาร์เซโลน่า วันที่ 14 ธันวาคม 2000 ต่อหน้า มินเกย่า และ โอราซีโอ, ชาร์ลี เรซัค ตำแหน่งเลขาธิการฝ่ายเทคนิคของสโมสรบาร์เซโลน่า, ดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบของเขา ให้คำสัญญาว่าแม้จะมีบางความเห็นที่ต่อต้านการเซ็นสัญญากับนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ แต่เราจะยังคงรักษาข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ตลอดไป”
ซึ่งนั้นคือสัญญาครั้งประวัติศาสตร์ จากนั้นช่วงต้นเดือนมกราคม 2001 เมสซี่ กลายเป็นนักเตะของ บาร์เซโลน่า อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับที่สโมสรให้บ้านหนึ่งหลังกับครอบครัว เมสซี่, ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ อาร์เจนติน่า, หางานให้คุณพ่อของ เมสซี่ และ รับผิดชอบค่าฉีดฮอร์โมนในทุกเดือนรวมอยู่ที่ราว 20,000 ยูโร
เปิดซิงนัดแรกกับทีมชุดใหญ่
หลังจากได้รับสัญญากับ บาร์เซโลน่า เจ้าหนูจากอาร์เจนติน่าก็โลดแล่นอยู่กับทีมชุดเยาวชนหลายปี ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์จนกระทั่งได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่ เกมแรกเกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ เอฟซี ปอร์โต้ ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2003 ซึ่งตอนนั้น เมสซี่ พึ่งมีอายุเพียง 16 ปี 4 เดือน 23 วัน เท่านั้น
แต่ทว่าในเกมอย่างเป็นทางการเจ้าตัวต้องรอคอยจากวันนั้นอีกนานพอสมควร เพราะมันเกิดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2004 เกมนัดที่ 7 ของศึกลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2004-05 นัดที่ทัพ “อาซูลกราน่า” ยกพลออกไปเยือน เอสปันญ่อล เกมวันนั้น เมสซี่ ถูกส่งลงสนามมาในช่วง 8 นาทีสุดท้ายของเกม แทนที่ของ เดโก้
ซึ่งนั้นคือก้าวประวัติศาสตร์ของเด็กน้อยจากอาร์เจนไตน์อายุ 17 ปี 3 เดือน กับอีก 22 วัน ทำให้เขาสร้างสถิติเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการในขณะนั้น แต่นั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับวินาทีต่อจากนั้นที่เชื่อว่าน้อยคนจะคาดคิดว่าตำนานของสโมสรได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในวินาทีดังกล่าว
ประตูแรกกับ บาร์เซโลน่า
ภายหลังประเดิมนัดแรกแล้ว จุดหมายต่อไปที่ เมสซี่ เองตามหานั้นก็คือการเปิดซิงกับทีมชุดใหญ่ให้ได้สักมี แต่ทว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นมันไม่ง่ายเลยเนื่องตัวเขาไม่ได้ถูกส่งลงสนามแบบสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่หนักไปทางไม่มีชื่อบนม้านั่งสำรอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือของทีมทำในตอนนั้น เพราะด้วยอายุของ เมสซี่ ที่ยังคงถูกจำกัดไว้ที่คำว่า ดาวรุ่ง
จนกระทั่งเกมนัดที่ 34 ของฤดูกาล ตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคม 2005 ในเกมที่ทัพ “อาซูลกราน่า” เปิดบ้านพบกับ อัลบาเซเต้ เจ้าหนู “เลโอ” ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองช่วง 2 นาทีสุดท้ายแทนที่ของ ซามูเอล เอโต้ แม้เวลาในสนามจะน้อย แต่ เมสซี่ ก็สามารถประเดิมตุงแรกได้สำเร็จจากการแอสซิสต์ของ โรนัลดินโญ่
ซึ่งนั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม แน่นอนมันไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงตัวความหวังของทีม และจะผลิตประตูให้แฟนบอลได้ชื่นชมอีกมากกว่า 600 ประตู แต่นั้นมันได้เกิดขึ้นแล้ว
ดาวซัลโวตลอดกาล
จากวันแรกที่เขาพาประตูไปกระทบก้นตาข่าย เหตุการณ์เหล่านั้นก็เกิดขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งตัวเลขมันไปแตะที่คำว่า “ดาวซัลโวของสโมสร” แน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้าวัดจากผลงาน และตัวเลขในแต่ละขวบปีของ เมสซี่ สถิติดังกล่าวมันไม่ได้เกินเลยไปสักนิด
672 ประตู คือตัวเลขที่ เมสซี่ ทิ้งไว้ที่ บาร์เซโลน่า แม้มันจะต้องหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ทว่ามองกันตามความเป็นจริงจากสถิติแบบนี้ใครกันที่จะก้าวขึ้นมาโค่นล้มมันไปได้ เอาแค่อันดับ 2 อย่าง เซซาร์ โรดริเกวซ ที่ยิงไป 232 ประตู ก็ยากต่อการทำลายแล้ว
แน่นอนตัวเลขนี้ยังคงยืนหยัดอยู่บนยอดอีกนานหลายสิบปี เพราะคุณสมบัติของคนที่จะทำลายนั้น คุณต้องมีผลงานที่สม่ำเสมอ แถมต้องลงเล่นกับทีมไม่ต่ำกว่า 10 ปี อีกทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวก็ยังไม่การันตีว่าคุณจะทำได้ นี่แหละความยาก และร่องรอยที่ เมสซี่ ทิ้งไว้ให้แฟนบอลได้ชื่นชอบตลอดกาล
ลงเล่นมากที่สุดตลอด
นอกจากจะครอบครองสถิติซัดประตูให้ทีมมากที่สุดแล้ว เมสซี่ ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติเป็นนักเตะที่ลงสนามในสีเสื้อของ บาร์เซโลน่า มากที่สุดด้วยจำนวน 778 นัด นับตั้งแต่ปี 2004-2021
ซึ่งจากจำนวนดังกล่าวจำแนกออกมาเป็นในศึกลาลีกา สเปน 520 นัด, ฟุตบอลถ้วย 20 นัด, บอลยุโรป 153 นัด และรายการอื่นๆ อีก 25 นัด โดย เมสซี่ ทำลายสถิติเดิมอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ แบบราบคาบ เนื่องด้วยกองกลางชาวสเปนทำสถิติไว้ที่ 767 นัด นอกจากนั้นในชาร์ตลงสนามมากที่สุดนั้น เมสซี่ เป็นนักเตะคนเดียวที่ไม่ใช่ชาวสเปน และเข้ามาอยู่ในลิสต์นี้
แน่นอนสิ่งสำคัญคือเขาอยู่บนยอดที่สุดของพีระมิดลงเล่นนี้ และมันยากยิ่งนักที่จะหาใครสักคนได้โอกาสลงสนามกับสโมสรเดียวได้มากถึงตัวเลข 778 เกม
ทริปเปิ้ลแชมป์ 2 ครั้ง
คำถามที่ยากมากต่อการคิดคำตอบคือ บาร์เซโลน่า ที่ไม่มี เมสซี่ จะกอบโกยความสำเร็จได้มากขนาดนี้ไหม? แต่คำตอบนั้นมันคงไม่สำคัญเพราะกับชีวิตจริง เมสซี่ และ บาร์เซโลน่า ต่างเกื้อหนุนกันพาสโมสรพุ่งชนความสำเร็จแบบเรื่อยๆ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2008-09และ 2014-15 ที่พวกเขาสามารถสอยทริปเปิ้ลแชมป์มาครอง
โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่โคตรแข็งแกร่ง อัดแน่นด้วยคุณภาพทุกตำแหน่ง ส่วนอีกครั้งถูกสถาปนาโดย หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่จะว่าไปมันยอดเยี่ยมกว่าด้วยซ้ำ เพราะอะไรน่ะหรอ?
ทัพ “อาซูลกราน่า” ในซีซั่น 2014-15 พวกเขาสอยแชมป์มาเชยชมได้มากถึง 5 โทรฟี่แชมป์ และกลายเป็นที่กล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ในความเก่งกาจ และยอดเยี่ยมของขุมกำลังที่ผสมกันออกมาจนรสชาติมันกลมกล่อม และไม่ใช่เรื่องที่ฟลุคกับตำแหน่งแชมป์ที่มี ลิโอเนล เมสซี่ เป็นคนนำทัพกวาดแชมป์แบบไม่รู้จักเบื่อ
5 แชมป์ ในความทรงจำ
อย่างที่กล่าวไปในประเด็นเมื่อสักครู่ฤดูกาล 2014-15 ถือว่าเป็นที่สุดแล้วของ บาร์เซโลน่า และตัวของ ลิโอเนล เมสซี่ เอง เพราะด้วยความสำเร็จที่โกยมาได้ถึง 5 โทรฟี่แชมป์ ไล่มาตั้งแต่ ลาลีกา สเปน โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟา ซูเปอร์ คัพ และ สโมสรโลก
นักเตะแกนหลักในทีมชุดดังกล่าวนอกจาก เมสซี่ แล้ว ก็นำมาโดย หลุยส์ ซัวเรซ, เนย์มาร์, อันเดรส อิเนียสต้า, เซร์คิโอ บุสเก็ต หรือ เคราร์ด ปิเก้ มันเลยทำให้ขุมกำลังชุดนี้มันลงตัว และผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ตอกย้ำในความยอดเยี่ยมของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
โดยในซีซั่นดังกล่าว เมสซี่ กระหน่ำไปทั้งหมด 58 ประตู จาการลงสนาทุกรายการ 57 นัด และแน่นอนเมื่อถึงช่วงปลายปีรางวัล บัง ดอร์ ก็ไม่ได้หนีเขาไปไหน ซึ่งครั้งนั้น เมสซี่ คว้าบอลทองคำไปครองด้วยการได้รับเสียงโหวตไปมากถึง 41.33%
ฤดูกาลที่พีคขั้นสุด
เอาจริงๆ ถ้ากางสถิติการยิงประตูของ เมสซี่ มาพิจารณา สิ่งที่ชายผู้นี้ทำมันยอดเยี่ยมในทุกฤดูกาลอย่างแท้จริง แต่ทว่าถ้าจะหาซีซั่นที่โดดเด่นแบบหลุดโลกเลยคงต้องยกให้ฤดูกาล 2011-12 เนื่องด้วยความสำเร็จ 4 แชมป์ และที่สำคัญคือเรื่องของสถิติตัวเลขที่ เมสซี่ รังสรรค์ออกมา
ซีซั่นดังกล่าว เมสซี่ กระหน่ำไปได้ถึง 73 ประตู พ่วงด้วย 34 แอสซิสต์ จากการลงสนามทุกรายการ 60 เกม ซึ่งนั้นเท่ากับว่าดาวเตะจากอาร์เจนติน่ามีส่วนร่วมกับประตูมากถึง 107 ประตู แน่นอนตัวเองดังกล่าวมันดูเวอร์วังอลังการณ์มากจริงๆ แต่นี้คือสิ่งที่ เมสซี่ ร่ายมนต์ออกมาให้แฟนบอลได้ชื่นชม และสดุดีในความเก่งกาจของชายผู้นี้
ส่วนรางวัลส่วนตัวอย่าง บัลลง ดอร์ แน่นอนเขาสามารถคว้ามามันครองได้สำเร็จ จากคะแนนโหวต 47.88% ทิ้งห่างอันดับ 2 แบบไม่เห็นฝุ่น ซึ่งผลลัพธ์มันก็คู่ควรที่จะออกมาในแบบนั้น และต่อให้เวลาเดินไปข้างหน้าอีกนานแค่ไหน จากปีนั้น ถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครบันดาลประตูระดับ 73 ประตู ต่อหนึ่งฤดูกาล ได้อีกเลย
บัลลงดอร์ 6 สมัย
มนุษย์คนแรกของโลกที่ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ไปครอบครองได้ถึง 6 สมัย ซึ่งนี่คือเครื่องยืนยันได้อย่างยอดเยี่ยมถึงความเก่งกาจ และความสามารถของ ลิโอเนล เมสซี่ ว่าคือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่โลกใบนี้รู้จักกับคำว่า ฟุตบอล
จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2009 ที่ได้รางวัลบอลทองคำมาครองเป็นสมัยแรก จากนั้นเขาก็เหมารวบอีก 3 ครั้ง รวมแล้ว เมสซี่ ครอบครองรางวัลนั้นติดต่อกัน 4 ปีซ้อน เป็นนักเตะคนแรกอีกด้วยที่สามารถทำได้
แน่นอนทุกรางวัลที่เขาเอาชนะใจคนลงคะแนนก็มาจากการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมในสีเสื้อของ บาร์เซโลน่า ฉะนั้นอย่างที่เคยกล่าวไปมันคือการเกื้อหนุนกันมากกว่า เมสซี่ ให้ บาร์ซ่า และ บาร์ซ่า เองก็ให้ความสำเร็จ ชื่อเสียง และเกียรติยศที่คู่ควรสำหรับเขา
จากลาอย่าง ตำนาน
ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ภาพที่เราคุ้นเคยมาตลอดคือ ลิโอเนล เมสซี่ กับการมีโลโก้ บาร์เซโลน่า อยู่ที่แกทางด้านซ้าย ยอมรับเลยว่าจินตนานการไม่ออก และหาเหตุผลอะไรไม่ได้จริงๆ ที่จะทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน
ซึ่งมันคงไม่มากเกินไปถ้าจะกล่าวว่า เมสซี่ เป็นมากกว่านักฟุตบอลคนหนึ่งสำหรับสโมสร บาร์เซโลน่า โทรฟี่มากมายหลั่งไหลมายัง คัมป์ นู ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝีเท้าของชายผู้นี้ และนี้คือสิ่งที่ เมสซี่ ตอบแทนให้กับสโมสรที่เชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อมั่นในเด็กตัวเล็กๆ วันนั้นจากโรซาริโอที่บินข้ามน้ำทะเลมาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
เชื่อว่าไม่มีแฟนบอล บาร์ซ่า คนไหนทำใจรับได้กับการจากลาในครั้งนี้ ภาพที่แฟนบอล “อาซูลกราน่า” ร่ำร้องให้กับฮีโร่ของพวกเขามันกระแทกใจ และสื่อออกมาเป็นความหมายทางภาษากายได้อย่างดีที่สุด ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าสักวันก็ต้องมาถึง แต่ทว่ามันคงจะเร็วเกินไปกว่าที่ตั้งตัว และทำใจรับมันได้
สุดท้ายวีรกรรมที่ เมสซี่ ได้ทำไว้มันคงจะเป็นเรื่องราวที่แฟนบอลจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันไปอีกแสนนาน ทุกท่วงท่าลีลาคงถูกจดจำในฐานะ “ตำนาน” ของสโมสรแบบไม่มีวันลืม
เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ ทศวรรษ ที่สนามคัมป์ นู จะปราศจากชื่อของผู้ชายคนนี้ …. ลิโอเนล เมสซี่