“คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกัน” วลีสั้นๆ ที่เข้ากับสถานการณ์ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้เป็นอย่างดี ภายหลังซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส หักเลี้ยวกลับมาค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง
แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับทีมอริร่วมเมือง แต่ทว่าสุดท้าย โรนัลโด้ ก็เลือกที่จะกลับมาค้าแข้งภายใต้โลโก้ตรา “ปีศาจแดง” อีกครั้ง
แน่นอนนับจากวันที่เขาเดินออกไป จนถึงวันนี้ระยะเวลามันเนิ่นนานกว่า 12 ปี หลายๆ อย่างอาจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องของอายุ แต่ทว่านั้นไม่ใช่อุปสรรคที่แฟนบอลมองแต่อย่างใด
ว่าแล้ว เราจะพาไปดูสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้จากการพา โรนัลโด้ กลับมาค้าแข้งกับทีมอีกครั้ง ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย
อิมแพ็คต่อสโมสร
ประเด็นแรกอาจจะยังไม่ได้เริ่มเข้าสู่เรื่องของผลงานสนาม แต่พูดถึงอิมแพ็คสิ่งที่เกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่กลับมามีข่าวกับ โรนัลโด้ อย่างแรกเลยคือเรื่องหุ้นที่ตอนนี้หุ้นของ ”ปีศาจแดง” พุ่งทะยานขึ้นมากถึง 8.22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนั่นทำให้หุ้นของพวกเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้นราว 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
ประเด็นถัดมาคือเรื่องของโซเชียลมีเดียอย่างที่เรารู้กันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ถือว่าเป็นทีมระดับต้นๆ ที่มีแฟนบอลติดตามในช่องทางออนไลน์เบอร์ต้นของโลก แต่ทว่าการที่พวกเขาได้ โรนัลโด้ เข้ามาทำให้ยอดติดตามในอินสตราแกรมจากยอดเดิมที่มีอยู่ 43.1 ล้านคน ขยับมาอยู่ที่ 45.1 ล้านคนเข้าให้แล้ว ทั้งที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง ส่วนภาพการคว้าตัวเจ้าของโค้ดเนม CR7 มีคนเจ้ามากระหน่ำไลค์มากถึง 11.5 ล้านเลยทีเดียว
ต่อมาจะไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องของเสื้อแข่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต่อให้ โรนัลโด้ จะสวมเสื้อหมายเลขอะไรมันย่อมส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงสำหรับนักสะสม เพราะคงมีแฟนบอลหลายคนต่างอยากจับจองเป็นเจ้าของเสื้อในเวอร์ชั่นการกลับมาอีกครั้งของนักเตะที่พวกเขารัก และกับทำพูดที่ว่าขายเสื้อก็ได้ทุนค่าตัวคืนแล้วมันก็คงจะไม่ได้มากเกินกว่าความเป็นจริงเลย
ประสบการณ์
นี่คือสิ่งที่แคมป์ “ปีศาจแดง” จะได้รับไปเต็มๆ กับนักเตะมากประสบการณ์ เพราะตลอดชีวิตค้าแข้งของ โรนัลโด้ เขาอยู่ในระดับสูงมาตลอดไม่ว่าจะในบทบาทกับสโมสร หรือทีมชาติ
ย้อนกลับไปตั้งแต่ภาคแรกที่เจ้าตัวยังไงเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นก็เปรียบเสมือนเวทีทำให้เขาได้ตั้งไข่ เรียนรู้ประสบการณ์ เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เจ้าตัวยกให้เป็นคุณพ่ออีกคน ซึ่งแค่ช่วงเวลาที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในห้วงนั้นก็มีหลายอย่างให้เขาได้นำไปใช้แล้ว
ส่วนช่วงเวลากับ เรอัล มาดริด ต้องบอกว่านี้การปล่อยของออกมาอย่างเต็มที่เป็นชายหนุ่มที่เติบโตเต็มวัย ก่อนที่จะฉายร่างเทพออกมายิงประตูเป็นว่าเล่น พาทัพ “ราชันชุดขาว” พุ่งชนกับความสำเร็จแบบไม่ลดละ โดยเฉพาะในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ได้เหรียญทองมาคล้องคอเพิ่มถึง 4 เส้น
หรือกับทีมชาติโปรตุเกสที่เขาผ่านมาหมดแล้วกับทัวร์นาเมนต์ระดับสูงทั้งยูโร และฟุตบอลโลก ฉะนั้นไม่แปลกที่เขาจะเป็นหนึ่งในนักเตะ “ปีศาจแดง” ชุดนี้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด และพร้อมช่วยยกระดับทีมให้สูงขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ กับทีมชุดนี้
ซึ่งสิ่งนี้เองมันสามารถที่จะเข้ามาทดแทนเรื่องของความรวดเร็ว หรือการวิ่งไล่กรวดคู่แข่งเหมือนแต่ก่อน เพราะด้วยอายุที่มากขึ้น ประสบการณ์ตรงนี้เลยเข้ามาแทนที่ได้อย่างแนบเนียนแน่นอน
ตัวอย่างที่ดีต่อแข้งยังบลัด
สอดส่ายสายตามองไปยังขุมกำลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้จะพบว่านักเตะส่วนใหญ่ยังคงเป็นเหล่าวัยรุ่นคะนองเดชไม่ว่าจะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด, จาดอน ซานโช่, ดาเนียล เจมส์ หรือ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ นักเตะเหล่านี้มีพลังเหลือล้นที่จะวิ่งห่อตะบึ้งกันตลอด 90 นาที แต่ในชีวิตนักฟุตบอลมันไม่ใช่จะมีแต่เรื่องในสนามที่จะต้องโชว์ฟอร์มให้แจ่มเพื่อเข้าตาผู้เป็นกุนซือ หรือต้องตาเพื่อได้รับคำชื่นชมจากแฟนบอล
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่องนอกสนาม โดยเฉพาะความเป็นมืออาชีพที่คอยดูแลตัวเอง ให้มั่นขยันฝึกซ้อมให้ร่างกายของตัวเองอยู่ในระดับที่สูงตลอดเวลา
ซึ่งเรื่องนี้ โรนัลโด้ สามารถเป็นที่ปรึกษา และให้แนวทางที่ดีแก่เด็กๆ เหล่านั้นได้เป็นอย่างดีแน่นอน ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพอย่าง เมสัน กรีนวู้ด ที่ตอนนี้นร่างกายที่ไม่บึกบึ้นพร้อมปะทะเท่าไหร่นัก บางทีการได้สัมผัสใช้เวลาใกล้ชิดกับ โรนัลโด้ มันอาจจะช่วยส่งเสริมให้เขากลายเป็น “หนุ่มไม้เขียว” ที่ร่างกายทรงประสิทธิภาพก็เป็นได้
ส่วนเรื่องในสนามวิชาความรู้ของ “พี่โด้” คงถ่ายทอดออกมาให้เหล่าดาวยิงให้เรียนรู้เอง นี่แหละข้อดีของการได้เรียนรู้ทางตรงจากผู้มีประสบการณ์ เพราะมันไม่ได้แค่เรื่องของภาพลักษณ์ที่สโมสรจะได้รับ แต่มันยังรวมไปถึงเป็นศูนย์รวมให้เด็กๆ ได้ดูดวิชามาพัฒนาตนเองต่อไปทั้งปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ด้วย
ยกระดับเกมรุก
ย้อนกลับไปนับตั้งแต่ฤดูกาล 2006-17 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มาตรฐานขั้นต่ำในการยิงประตูของ โรนัลโด้ อยู่ที่ 20 ตุงเป็นอย่างน้อยมาตลอด ช่วงเวลากับ เรอัล มาดริด คือตัวอย่างที่พอเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงกระหน่ำไม่ยั้งเคยมากสูงถึงซีซั่นละ 60 ตุง แต่นั้นคือช่วงที่เขาเข้าขั้นพีคที่สุดของอาชีพค้าแข้งก็ว่าได้
ส่วนกับ ยูเวนตุส ถ้าจะบอกว่าคือห้วงเวลาที่อายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น แต่ทางด้านตัวเลขสถิติเขายังคงไว้ซึ่งมาตรฐานไม่เคยแปรเปลี่ยนทั้งที่มีอาการบาดเจ็บเข้ามารบกวนบ้าง แต่ความกระหาย และความเฉียบขาดการในการไล่ล่าประตูไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย อย่างฤดูกาลที่ผ่านมาก็สามารถครองดาวซัลโวศึกกัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้ด้วยจำนวน 29 ประตู
ส่วนการย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนสไตล์ฟุตบอลอังกฤษแตกต่างไปจากวันที่เขาย้ายออกไป แต่ ณ วันนี้ โรนัลโด้ เองก็เปลี่ยนสถานะของตัวเองเช่นกัน กลายเป็นกองหน้าที่คอยยิงประตูแบบเต็มตัว แม้ใครอาจมองว่าง่ายแค่ยืนในกรอบเขตโทษรอเพื่อนป้อน แต่ความเป็นเพชรฆาตรคือข้อแตกต่างอย่างชัดเจน
ไม่ต้องย้อนถอยไปไกลอย่างเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปเสมอกับ เซาแธมป์ตัน 1-1 พวกเขาขาดหายเรื่องของประสิทธิภาพในการจบสกอร์เป็นอย่างมาก ทั้งที่มีโอกาสได้เพิ่มสกอร์อยู่หลายครั้ง เหตุการณ์แบบนี้ถ้าขืนปล่อยไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นเรื้อรังทาคะแนนหกแบบไม่ควรพลาด ฉะนั้นแล้วการเข้ามาของ โรนัลโด้ ก็ตอบโจทย์ไม่ใช่น้อย และแน่นอนเขาจะเพิ่มความอันตรายในกรอบเขตโทษของ “ปีศาจแดง” ให้มีอัตราของความน่ากลัวเพิ่มขึ้นอีกหลายแรงถีบแน่
ซึ่งนอกจาก โรนัลโด้ แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงมีกองหน้าจำพวกกระหายประตูอีกหนึ่งคนอย่าง เอดินสัน คาวานี่ ที่พิสูจน์แล้วว่าสอบผ่านกับขวบปีแรกในอังกฤษ ฉะนั้นเมื่อมีเสือถึง 2 ตัวในการล่าประตู ประสิทธิภาพการผลิตสกอร์คงเพิ่มตามไปด้วย และเป็นโอกาสอันดีที่ มาร์กซิยาล หรือ กรีนวู้ด จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงตรงหน้า
ความสำเร็จ
ประเด็นสุดท้ายขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่กล้าใส่ความมั่นใจแบบเต็มประดาเท่าไหร่ว่าการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ตัว โรนัลโด้ กลับมาร่วมทีมจะส่งผลให้พวกเขากลับมาเถลิงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ในอังกฤษอีกครั้งแบบกระทันหัน เพราะยังมองว่านักเตะเพียงคนเดียวยังไม่อาจเปลี่ยนสถานะของพวกเขาได้มากขนาดนั้น
แต่ทว่ากับชื่อหัวข้อที่ว่าความสำเร็จคือการบ่งบอกว่าสักถ้วยใดถ้วยหนึ่งมากกว่า เนื่องด้วยพลพรรค “ปีศาจแดง” เอื้อมมือไปคว้าความสำเร็จล่าสุดคือแชมป์ยูโรปา ลีก เมื่อฤดูกาล 2016-17 ก่อนที่หลังจากนั้นจะทำได้มากที่สุดแค่เกือบเพียงเท่านั้น
ซึ่งตลอดเส้นทางการค้าแข้งของ โรนัลโด้ เขาเปรียบเสมือนไอคอนแห่งความสำเร็จ ในทุกๆ หน้าปฎิทินเขาจะต้องประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างให้ได้ และไม่เคยพาตัวเองออกนอกวงโคจรของความเป็นแชมเปี้ยนได้เลย และการย้ายมา ยูไนเต็ด เชื่อว่าความสามารถของเขามันจะเป็นการยกระดับทีม และตัวเขาเองก็ยังคงไล่ล่าความสำเร็จอยู่ตามเดิม
ฉะนั้นเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่กระหายความสำเร็จทั้งตัวนักเตะ และสโมสรที่กำลังถวิลหาโทรฟี่แชมป์มาบรรจบกันไม่แน่มันอาจถึงเวลาแล้วที่แฟนผีจะได้เชยชมกับความสำเร็จที่ตามหาอีกครั้งก็เป็นได้