ข่าวฟุตบอล แมนยู

   การที่พวกเขาตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นก็หมายความว่าพวกเขาได้หมดโอกาสลุ้นความสำเร็จในซีซั่นนี้ไปแล้ว และมันก็ยังคงเป็นปีที่ 5 แล้วที่สโมสรแห่งนี้ต้องไร้แชมป์ติดมือ ความผิดหวังได้เริ่มปกคุลมถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง บรรยากาศอึมครึมได้เริ่มรายล้อมสโมสร เพราะอาจจะเรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่ทีมจะไม่เจอกับความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมเลยสักอย่าง

   หากลองย้อนกลับไปในเกมเมื่อวันอังคาร จะเห็นได้ว่า ปิศาจแดง ทำได้ดีก็คงไม่ใช่คำกล่าวเกินเลยอะไร เพราะลูกทีม ราล์ฟ รังนิก เดินหน้ากดดัน แอตเลติโก มาดริด ได้น้ำได้เนื้อและดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะจังหวะชาร์จเน้นๆ ของ แอนโธนี่ เอลังก้า ที่บอลไปโดนศีรษะ ยาน โอบลัค อย่างน่าเสียดาย

 พลังงานและความมุ่งมั่นนั้นได้แสดงออกมาจากการเล่นของบรรดานักเตะ ทุกๆ คนดูมีมุ่งมั่นในการเล่นงาน ตราหมี เพราะถ้าหากพวกเขาปล่อยให้เกมยืดเยื้อไปอาจจะมีภัยเข้าตัว ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ทาง ผีแดง จะมีการครองบอลและพยายามกดดันทีมเยือนได้มากว่าแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ทำอะไรไม่ได้ แถมท้ายครึ่งแรกเริ่มมีสัญญาณแจ้งเตือนดังขึ้น

 เริ่มจากจังหวะล้ำหน้าของ ชูเอา เฟลิกซ์ ที่สอยตาข่ายในนาที 34 ซึ่งนี่ก็ถือเป็นการเตือนไปยังแนวรับเจ้าบ้านครั้งแรกว่าถ้าหากยังปล่อยโอกาสหรือสติไม่อยู่กับเกมเหม่อลอยเมื่อไหร่ก็มีสิทธิ์โดนเมื่อนั้น และแล้วสิ่งที่แฟนบอลปิศาจแดง ซึ่งอาจจะร่วมไปถึง รังนิก ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ดันเป็นจริงจนได้ เมื่อทีมของเขาเป็นฝ่ายตามหลังในช่วงก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่นาที ถือได้ว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โมเมนตัมทั้งหมดได้เทไปหาฝั่ง แอตเลติโก มาดริด อย่างชัดเจน และยังเป็นจังหวะที่เกิดข้อถกเถียงกันอย่างมากเพราะนักเตะ ปิศาจแดง มองว่า เอลังก้า โดนทำฟาวล์ก่อนจะเสียบอล

 ในอีกมุม แมนฯ ยูไนเต็ด ย่อมไม่แปลกที่ทุกๆ คนจะเดือดดาลพร้อมพุ่งเป้าไปหา สลาฟโก้ วินชิช ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในนัดดังกล่าว ที่ตัวเขานั้นได้โดนเพ่งเล็งว่าเอนเอียงไปทาง ตราหมี ในหลายจังหวะ 

 มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะนอกจากจังหวะที่ ผีแดง เสียประตูไปแล้วก็ยังคงมีการตัดสินหลายๆ ครั้งที่ดูจะค้านสายตาบรรดาแฟนเจ้าถิ่น ไหนจะเรื่องการทำหน้าที่ที่มักจะโดนทีมเยือนตบตา หรือในบางจังหวะที่ควรจะฟาวล์แต่ดันไม่ให้ จึงเป็นที่มาถึงข้อถกเถียงหลังจบเกมนัดล่าสุด

 ทางฝั่งของ รังนิก ยังคงยืนยันชัดเจนว่าหากมองในมุมของตัวเขานั้น อย่างไรก็แล้วแต่ประตูแรกของ ตราหมี ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันคือจังหวะที่ทีมของนเองต้องได้ฟาวล์ในแดนคู่แข่ง

 นั่นคือเหตุการณ์ที่มีการถกเถียงและพูดถึง แต่หากมาวิเคราะห์หรือพิจารณาจังหวะโดนประตูชัย พวกเขาก็ต้องยอมรับเลยว่าการป้องกันของทีมพวกเขานั้นผิดพลาดที่ให้พื้นในการสวนกลับ โดยเฉพาะแนวรับโดนแนวรุกฝ่ายตรงข้ามดึงตัวขึ้นมาจนเสียพื้นที่ และที่สำคัญคือการจ่ายตอกส้นของ ชูเอา เฟลิกซ์ ได้สร้างพื้นที่ให้ อองตวน กรีซมันน์ เปิดไปเสาไกลได้อย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น ก่อนจะจบด้วยการโขกของ เรนาน โลดี้

เป้าหมายสุดท้ายของแข้ง แมนยู 1

 ลูกดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นแนวรับ ปิศาจแดง ต้องรับผิดไปเต็มๆ รวมไปถึงแดนกลางที่ไม่สามารถช่วยเบรกเกมได้ ซึ่งสองนักเตะที่โดนเพ่งเล็งหนีไม่พ้น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ ดีโอโล ดาโลต์

 ในกรณีของ แม็กไกวร์ ที่ตัวเขานั้นเสียตำแหน่งเพราะต้องไปไล่ตามทางด้าน กรีซมันน์ ที่ลงไปเชื่อมบอล ส่งผลให้ ดาโลต์ ต้องหุบมาช่วยประจำการในตำแหน่งตรงกลางแทน แม้หลังจากนั้นกัปตันผีแดงจะกลับมาตรงพื้นที่รับผิดชอบแต่มันก็ดูว่สจะสายไปแล้วเพราะบอลโดนเปิดไปเสาไกลตรงพื้นที่ว่าง 

 จุดนี้เป็นความรับผิดชอบของแนวรับอย่างแน่นอน แต่จะว่าไปและจะโทษกองผลังอย่างเดียวก็ไม่ได้ต้องโทษการป้องโดยรวมของทีม เพราะมันต้องมีตัวตามวิงแบ็กของฝ่ายตรงข้ามที่สอดทะลุเข้าเขตโทษไปด้วย (ไม่ว่าจะแดนกลางหรือปีกอย่าง เอลังก้า ที่ตอนนั้นก็คงหงุดหงิดที่ไม่ได้ฟาวล์จนลืมตามกลับมาลงป้องกัน) ถือเป็นการป้องกันที่ผิดพลาดซึ่งใันได้ส่งผลต่อรูปเกมหลังจากนั้น เพราะมันทำให้ ตราหมี เล่นตามที่พวกเขาต้องการคือการดึงเกมให้ช้า คอยทำลายจังหวะคู่แข่ง และเล่นงานด้วยการสวนกลับ

 สำหรับทีมเยือนเองนั้นไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะมีการครองบอลมากน้อยเพียงใด ขอแค่เพียงโอกาสเดียวที่จะสามารถขึ้นนำ (ซึ่งสำเร็จในช่วงท้ายครึ่งแรก) และหลังจากนั้นพวกเขาก็พร้อมเล่นแบบ ‘สกปรก’ ตามที่หลายๆ คนวิจารณ์ 

 นั่นคือบอลในรูปแบบเน้นผลของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ที่เห็นมานักต่อนักในเกมสำคัญๆ โดยเฉพาะนัดที่ต้องออกมาเยือน หลายๆ ทีมเคยโดนและพบประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วว่ามันน่าหงุดหงิดรำคาญแค่ไหน แต่ ‘เอล โชโล่’ ไม่สนเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลการแข่งขัน

 เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดพร้อมรอยยิ้มของนักเตะ แอตเลติโก มาดริด ผิดกับแข้งผีแดงที่สีหน้าบบอกอาการได้ชัดเจนถึงความผิดหวัง ณ วินาทีนั้นหมายถึงทางสโมสรขอวพวกเขาต้องร้างแชมป์ต่อไปเป็นปีที่ 5 และได้มีเสียงวิจารณ์รวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาลอยดังมาจากทุกสารทิศ ซึ่งมันคือความเป็นจริงที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องผ่านไปให้ได้

 เป้าหมายสุดท้ายในตอนนี้ที่เหลืออยู่มีเพียงอย่างเดียวคือการลุ้นติดอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก และมันหมายถึงโควตาไปเตะ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า ซึ่งนั่นคืองานหนักที่รออยู่หลังจากนี้

 สถานการณ์ล่าสุดหลังจบเกมลีกนัดตกค้างเมื่อคืนวันพุธ ปิศาจแดง ได้อยู่ในอันดับที่ 5 ตามหลัง อาร์เซน่อล อันดับ 4 คะแนนเดียว แต่ว่า ปืนใหญ่ ยังมีเกมในมืออยู่ 2 นัด นอกจากนั้น สเปอร์ส ที่เพิ่งบุกชนะ ไบรท์ตัน ในเกมตกค้างทำแต้มไล่หลังมาเหลือ 2 คะแนน แถมยังมีเกมในมือ 1 นัดกับโอกาสในการแซงหน้าลูกทีม รังนิก ขึ้นไป แถมยังมีอีกหนึ่งทีมที่อยู่ในข่ายนั่นคือ เวสต์แฮม โดยลูกทีม เดวิด มอยส์ รั้งที่ 6 เก็บไป 48 คะแนนจากการลงเล่น 29 เกมเท่ากับ ปิศาจแดง

อีก 9 นัดสำคัญต่อจากนี้ ทุกๆนัดและทุกๆคะแนนมีค่าอย่างมากเพื่อโอกาสในการไล่ล่าเป้าหมายสุดท้ายของซีซั่นนี้

 แต่โปรแกรมต่อไปของ ผีแดง ต้องรอกันไปยาวๆจนถึงต้นเดือนเมษายน เนื่องจากคิวเตะเดิมที่จะดวล ลิเวอร์พูล สุดสัปดาห์นี้โดยเลื่อนออกไป เพราะทีม หงส์แดง มีคิวลงเล่นในเวที เอฟเอ คัพ 

 หากมองในแง่ดีนี่อาจจะถือเป็นโอกาสในการหลบรักษาแผลใจที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะหากต้องเจอศึกหนักอีกครั้งหลังจากสภาพจิตใจที่กำลังย่ำแย่นั้น ดีไม่ดีอาจจะโดนช้ำเลือดช้ำหนองมากกว่าเดิม

 เวลาพักประมาณครึ่งเดือนหลังจากนี้ (หวังว่า) จะเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่ให้ทีมกลับไปทบทวนถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา

 โค้งสุดท้ายใกล้มาถึง และหากทีมพวกเขายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ ‘ท็อป 4’ ดีไม่ดีอาจจะหลุดไปเล่น คอนเฟอเรนซ์ ลีก เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ หรือเลวร้ายที่สุดคือไม่ต้องได้โควตาไปไหนทั้งสิ้น สล็อตเว็บตรง แตกง่าย

เป้าหมายสุดท้ายของแข้ง แมนยู 2

รูป www.90min.com

เนื้อข่าว https://m.thsport.com/

ข่าวบอลล่าสุด