เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ ร้ายกาจกว่าที่คิด

ข่าวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก

เรียกได้ว่าเปิดตัวได้ดีเลยสำหรับทีมน้องใหม่ เบรนท์ฟอร์ด กับประสบการณ์บนสังเวียน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะตอนนี้ 2 นัดยังไม่แพ้ใคร และที่พีคสุดๆ ก็คือการไล่เชือดทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล ไป 2-0

ถึงจะเป็นทีมเล็ก แต่ก็น่าจับตามองไม่ใช่น้อยเลย เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ววันนี้ ก็ขอใช้โอกาสนี้พาทุกท่านไปทำความรู้สึกกับสโมสรน้องใหม่ เบรนท์ฟอร์ด ให้มากขึ้นยิ่งกว่าเก่า

จุดเริ่มต้นของสโมสร

จุดเริ่มต้นของสโมสร

ย้อนเวลากลับไปในปี 1889 นั่นคือปีที่สโมสร เบรนท์ฟอร์ด ได้ถือกำเนิดขึ้น ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้สิทธิ์เข้ามาโลดแล่นในระบบฟุตบอลลีกตอนฤดูกาล 1900-01 ชะตากรรมส่วนใหญ่ก็ได้แต่วนเวียนอยู่กับลีกล่างๆ พวกเขาเคยคว้าแชมป์ ลีก ดิวิชั่น 3 และก็สลับกับตกชั้นไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง แต่ก็มีโอกาสได้ขึ้นมาสัมผัสกับลีกสูงสุดเช่นกันซึ่งตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1 อยู่เลย

นับตั้งแต่ ฟุตบอลลีกอังกฤษ ได้ปรับเปลี่ยนระบบการแข่งขันใหม่หมด พลพรรค “เดอะ บีส์” เบรนท์ฟอร์ด ก็ไต่ขึ้นมาจากลีกล่างๆ จนมาปักหลักใน ลีก ทู ตอนปี 2008 และก็ใช้เวลาอีก 5 ปีเต็มๆ ในการตีตั๋วขึ้น ลีก วัน ก่อนที่ฤดูกาล 2014-15 พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการตีตั๋วเลื่อนชั้นสู่เวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ

ปีแรกบนเวทีลีกรองของอังกฤษผลงานค่อนข้างค่อนข้างเข้าตาเลย เพราะ เบรนท์ฟอร์ด สามารถจบสูงถึงอันดับ 5 ได้โควต้าเพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้นสู่สังเวียน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักไปแบบชอกช้ำด้วยน้ำมือของ มิดเดิ้ลสโบรช์ 

เลื่อนชั้นสู่เวที พรีเมียร์ลีก

เลื่อนชั้นสู่เวที พรีเมียร์ลีก

ถัดจากซีซั่น 2014-15 อีกราวๆ 4 ปีส่วนใหญ่ชะตากรรมของ เบรนท์ฟอร์ด ก็ได้แต่วนเวียนอยู่แถบกลางตาราง ไม่ได้ใกล้เคียงกับการลุ้นเลื่อนชั้นอีกเลย จนกระทั่งซีซั่น 2019-20 ในยุคของ โธมัส แฟร้งค์ เบรนฟอร์ด สามารถคว้าโควต้าเพลย์ออฟเลื่อนชั้นได้อกีกครั้งจากการจบที่อันดับ 3 มาคราวนี้พวกเขาทำได้ดีที่ยิ่งปี 2014 เพราะสามารถผ่านด่านแรกในการดวลกับ สวอนซี ซิตี้ ก่อนจะไปพลาดท่าในรอบชิงชนะเลิศให้กับ ฟูแล่ม แบบน่าเสียดายด้วยสกอร์ 1-2

ถึงจะผิดหวังมาถึง 2 ครั้งในระยะเวลา 6 ปี แต่นั่นไม่ได้ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด รู้สึกท้อแท้ใจแต่อย่างใด เพราะในฤดูกาล 2020-21 พวกเขาก็ยังคงรักษามาตรฐานและฟอร์มการเล่นได้ดีเยี่ยมแบบคงเส้นคงวามากๆ พร้อมกับจบที่อันดับ 2 ในตารางคะแนน แชมเปี้ยนชิพ ได้อีกครั้ง

โอกาสครั้งที่ 3 นี้ เบรนท์ฟอร์ด เปิดหัวด่านแรกด้วยการฟาดแข้งกับ บอร์นมัธ และก็เฉือนชนะไปแบบหวุดหวิดด้วยสกอร์รวม 3-2 ก่อนจะตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศที่ เวมบลี่ย์ ไปชิงชัยกับ สวอนซี ซิตี้ ที่เคยต่อกรกันมาแล้ว ผลปรากฏว่าสุดท้าย เบรนท์ฟอร์ด ใส่หนักจัดเต็มเป็นฝ่ายไล่อัดคู่แข่งไป 2-0 พร้อมกับสร้างสถิติกลายเป็นสโมสรที่ 50 ที่ได้โลดแล่นผจญภัยบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาจาก ดิวิชั่น 1 ในปี 1992

ชัยชนะในเกมนั้นนอกจากจะเป็นการไต่ขึ้นมาเล่นบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว มันยังเป็นการหยุดสถิติอันเดลวร้าย เพราะหารู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นทั้งหมดถึง 9 ครั้ง เบรนท์ฟอร์ด ต้องเจอกับความเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งเลยจริงๆ  

โธมัส แฟร้งค์

โธมัส แฟร้งค์

ความสำเร็จในการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คนที่ควรได้รับเครดิตและความดีความชอบมากที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นกุนซือคนเก่งชาวเดนมาร์กอย่าง โธมัส แฟร้งค์ ถ้าจะพูดถึงประสบการณ์งานด้านโค้ชก็ไม่ได้มีมากมายนัก เพราะตั้งแต่ปี 2008-13 งานส่วนใหญ่คือการเป็นโค้ชให้ ทีมชาติเดนมาร์ก ชุดเด็ก ไม่ว่าจะเป็นชุด ยู-16, ยู-17 และ ยู-19 

จากนั้น โธมัส แฟร้งค์ ก็ได้ผันตัวมารับงานในระดับสโมสรกับทีมดังในบ้านเกิดอย่าง บรอนด์บี้ และผลงานก็ค่อนข้างจับต้องได้เลยทีเดียวกับการพาทีมจบที่อันดับ 4 และ 3 ในฤดูกาล 2013-14 และ 2014-15 ได้ตั๋วไปเล่นเพลย์ออฟในศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ก่อนที่ช่วง มีนาคม ปี 2016 เจ้าตัวจะตัดสินใจลาออกจากทีมไปเนื่องจากมีปัญหากับทาง ยาน เบช อันเดอร์เซ่น ผู้เป็นประธานสโมสร

ปี 2018 โธมัส แฟร้งค์ ได้เข้ารับงานเป็นกุนซือใหม่ที่ เบรนท์ฟอร์ด และพาทีมจบที่อันดับ 11 ในซีซั่นแรก ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา อย่างที่ทราบกันไปก่อนหน้านี้ว่าเขาคือคนที่ยกระดับให้ เบรนท์ฟอร์ด กลายเป็นทีมชั้นนำของลีก และจบที่อันดับ 3 และได้สิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ 2 ปีติดต่อกัน

การทะยานสู่สังเวียน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำให้ชื่อของ โธมัส แฟร้งค์ ถูกจดจำในฐานะตำนานคนสำคัญบนประวัติศาสตร์สโมสรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นักเตะเด่นๆ 

ถ้าจะพูดถึงนักเตะที่น่าจับตามองของ เบรนท์ฟอร์ด คนแรกที่ถูกพูดถึงก็น่าจะเป็น อิวาน โตนี่ย์ กองหน้าเลือดผู้ดีที่มีสถิติการพังประตูที่ถล่มทลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปีก่อนพี่แกเล่นซัลโวไปกระจุยถึง 33 ประตูเลยทีเดียว ดูแล้วค่อนข้างน่าสนใจว่าปีนี้จะก้าวขึ้นไปเบียดกับเหล่าซุปตาร์ดังๆ เพื่อลุ้นรางวัลดาวซัลโวได้หรือไม่

ตามด้วย ไบรอัน เอ็มเบอูโม่ นี่คือปีกตัวจี๊ดและมีเทคนิคและพรสวรรค์การสร้างสรรค์เกมที่ดีมากๆ เขาคือดาวแอสซิสต์เบอร์ 1 ของทีมเมื่อปีที่แล้วที่ 11 ครั้ง แถมยังซัดไปอีก 8 ประตู นับเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของแผงแนวรุกที่ทีมจะขาดไปไม่ได้จริงๆ

เซร์จี้ กานอส อีกหนึ่งแนวรุกแววดีชาวสเปน ในอดีตที่ผ่านมาเขาเคยเป็นเด็กปั้นจาก ลา มาเซีย ของ บาร์เซโลน่า มาก่อนเชียวนะ ก่อนจะย้ายมาปลุกปั้นตัวเองต่อกับอีกหนึ่งทีมดังอย่าง ลิเวอร์พูล แต่ก็ไม่สามารถขึ้นไปมีบทบาทสำคัญกับทีมชุดใหญ่ได้ก็เลยต้องย้ายออกไปผจญภัยเรื่อยๆ จนมาอยู่กับ เบรนท์ฟอร์ด ณ ปัจจุบัน โดยผลงานเมื่อซีซั่นก่อน การลงเล่นไป 46 เกม ยิงได้ 9 ประตู และทำไป 9 แอสซิสต์ ก็ถือเป็นสถิติที่ไม่เลวเลยจริงๆ 

พอนตุส แยนส์สัน ปราการหลังกัปตันทีมชาวสวีเดนในวัย 30 ปี นี่คือหัวใจสำคัญในแผงแนวรับ โดยช่วงปี 2017-19 พี่แกเคยเป็นกำลังสำคัญของ ลีดส์ ยูไนเต็ด มาก่อน ด้วยส่วนสูงที่มากถึง 194 เซนติเมตร และความหนาทางบอดี้สรีระมันทำให้เขาเป็นกองหลังคนหนึ่งที่มีจุดเด่นในเรื่องพละกำลัง สามารถปะทะและชิงเหลี่ยมกับคู่แข่งได้ดี ตลอดจนการเล่นลูกกลางอากาศก็จัดว่าเป็นจุดเด่นเช่นกัน

ปิดท้ายกันที่พวกนักเตะหน้าใหม่อย่าง คริสตอฟเฟอร์ อาเจอร์ กองหลังที่ย้ายมาจาก เซลติก และ แฟร้งค์ ออนเยก้า กองกลางที่ย้ายมาจาก มิดทิลแลนด์ ถึงผลงานและจุดเด่นยังจับต้องไม่ได้มากนัก แต่ตลอด 2 เกมที่ผ่านมากับ เบรนท์ฟอร์ด ต้องบอกเลยว่าพวกเขามีส่วนร่วมกับเกมสูงมากจริงๆ 

สไตล์การเล่น

สไตล์การเล่น

เบรนท์ฟอร์ด ในยุคของ โธมัส แฟร้งค์ ประสบความสำเร็จผ่านเวที แชมเปี้ยนชิพ ด้วยการใช้ระบบ 4-3-3 ซึ่งเน้นเกมรุกโจมตีใส่คู่แข่งเป็นหลักโดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะเป็นหลัก อย่างที่ทราบกันไปว่าแข้งแนวรุกของพวกเขาแต่ละคนจัดว่าฝีเท้าดีและจัดจ้านไม่เบาเลยจริงๆ 

อย่างไรก็ตามการผจญภัยบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก โธมัส แฟรงค์ ได้ยลโฉมระบบใหม่โดยเน้นระบบหลัง 3 กับแผน 3-4-3 หรือไม่ก็ 3-5-2 การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ก็เพื่อเน้นเกมตรงกลางและการครองบอลเป็นหลัก พร้อมอาศัยการวิ่งสู้ฟัดเพื่อบีบและกดดันให้คู่แข่งเล่นยากและเสียบอลได้ง่าย เพราะเหมือนกับพวกเขาจะรู้ตัวดีว่าเรื่องชื่อชั้นและศักยภาพทีมนั้นเป็นรองกว่าหลายๆ ทีม ดังนั้น เบรนท์ฟอร์ด จึงเลือกใช้การทุ่มเทพลังกายเข้าแลก

ขณะเดียวกันระแบบเพรสซิ่งเพื่อทำลายเกมและใช้โอกาสนั้นในการเปิดเกมบุกใส่ศัตรูถือเป็นแท็คติกที่นิยมกันมากในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องบอกเลยว่า เบรนท์ฟอร์ด ก็ค่อนข้างทำได้ดีในจุดนี้

ประสบการณ์ใน พรีเมียร์ลีก

ประสบการณ์ใน พรีเมียร์ลีก

เบรนท์ฟอร์ด ได้กลับมาเล่นบนลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในรอบ 74 ปี แค่เกมแรกก็ต้องเจองานหนักเสียแล้วในการรับมือกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล แต่ไปๆ มาๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามมันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครคาดคิด เพราะ เบรนท์ฟอร์ด สามารถต่อกรกับลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ได้เป็นอย่างดี แถมยังโดดเด่นกว่าในเรื่องของการฟอร์มเกมบุก มีจังหวะเข้าทำและลุ้นประตูที่หลากหลาย เล่นซะ อาร์เซน่อล ทื่อไปเลยตลอดทั้งเกม

จนในที่สุดก็เป็น เบรนท์ฟอร์ด ที่มีความเฉียบคมที่เด็ดขาดกว่า ใช้โอกาสไม่เปลือง พวกเขาเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปแบบขาดลอยด้วยสกอร์ 2-0 เรียกได้ว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซเลยทีเดียว 

ถัดมาในเกมล่าสุดที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ เบรนท์ฟอร์ด ของ โธมัส แฟร้งค์ ในฐานะที่ทีมเป็นรองกว่าก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองได้ดีในเรื่องของการเล่นเกมบุก ถึงเปอร์เซนต์การครองบอลจะเป็นรองที่ 47 ต่อ 53 แต่ถ้าพูดถึงโอกาสเข้าทำขอบอกเลยว่ากินขาด เพราะเกมนี้ เบรนท์ฟอร์ด มีโอกาสยิงไปทั้งหมด 14 ครั้งซึ่งมากกว่าเจ้าถิ่นอยู่ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่ค่อยคม ปิดสกอร์ไม่ได้ก็เลยจบที่การแบ่งแต้มไป 0-0

บหน้าประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก มีทีมน้องใหม่ไม่มากนักที่ออกสตาร์ทได้ดีแบบนี้ แข่งไป 2 นัด ยังไม่แพ้ใคร แถมมีเกมที่น่าจดจำจากการโค่นทีมใหญ่ได้อีกด้วย ขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ และก็เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองมากๆ เลย ด้วยความที่ฤดูกาลใหม่เพิ่งจะเปิดฉากขึ้นก็เท่ากับว่ายังมีสิ่งมหัศรรย์อีกมากมายที่เราอาจได้ยลโฉมจากสโมสรน้องใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด 

ข่าวบอลล่าสุด