เป็นมาถึง 2 เกมติดต่อกันแล้วที่ ลิเวอร์พูล เจอบอลประเภทกลืนไม่เจ้าคายไม่ออกแต่ก็สามารถผ่านทางตันด้วยลูก “เตะมุม” จนเปลี่ยนเกมที่เป็นรองบุกมาเอาชนะ อินเตอร์ ที่วันนี้เล่นดีสุดจัดถึง ซานซิโร่ และไม่ใช่การชนะเพียงแค่ลูกเดียวด้วยนะครับแต่เป็นการทำประตูไปไว้ตุนเพื่อกลับไปเตะที่ แอนฟิลด์ ถึง 2 ประตูทั้งๆที่ทั้งเกมยิงเข้ากรอบ 2 ครั้งเท่านั้น!!!
ด้วยความสัตย์จริง “งูใหญ่” อาจทำใจยอมรับยากพอสมควรเพราะใครได้ดูเกมนี้พูดได้เลยว่าคู่นี้สูสีทันกันแทบจะทุกส่วนของสนาม incredible physical game เป็นคำนิยามเกมสุดหินที่ออกมาจากปากของ เยอร์เก้น คล็อปป์ หลังให้สัมภาษณ์จบเกม หากเรามาลองไล่ดูสถิติต่างๆของสองทีมทั้งครองบอล, โอกาส, เตะมุม, ครอส, ทำฟาว์ล ฯลฯ ไม่หนีกันไปไหนเลย ที่ว่ามามันก็เป็นเพียงในส่วนของตัวเลขแต่รูปเกมการเล่นแทบจะ copy กันมา ต่างฝ่ายต่าง build up ตั้งแต่ตำแหน่งผู้รักษาประตูและแน่นอนอีกฝั่งก็ยืนเรียงรอเพรส
อาจจะเรียกได้ว่าใครพลาดก่อนมีโอกาสพังซึ่งจากที่ดูทั้ง 2 ทีมก็ไม่ได้แกะออกมาแบบเนียนๆอะไร มีติดๆขัดๆบ้างพอให้แฟนบอลเสียววาบๆอยู่เป็นระยะแต่ “หงส์แดง” แอบเหนือกว่าตรงที่สามารถเก็บบอลที่แนวรับวางยาวมาให้ได้เยอะกว่า ถ้าหากนับไม่ผิดตัวบนเก็บบอลได้ราวๆ 3-4 ครั้ง พวก ดิโอโก้ โชต้า หรือ โม ซาลาห์ ก็คงต้องบอกเลยวาาตัวเล็กกว่า 3 เซนเตอร์ด้วยซ้ำ
ในส่วนของเจ้าถิ่นก็อาจจะพูดได้เลยว่างานหนักกว่าด้วยที่ต้องเจอความใหญ่ของคู่หอคอยอย่าง VvD (แมน ออฟ เดอะ แมทช์) และ อิบราฮิม่า โคนาเต้ ซึ่งตรงนี้จุดเดียวที่เจ้าถิ่นทำได้ไม่ดีเท่าและต้องขอชม ซิโมเน่ อินซากี้ บิ๊กบอส “เนรัซซูรี่” ที่ปรับแท็คติกส์ในครึ่งหลังได้ดีเอามากๆ ถ้าหากเราพูดถึงในช่วง 10 นาทีแรกของครึ่งหลังเป็นช่วงเวลาที่ “งูใหญ่” อาจจะเรียกได้ว่ากด ลิเวอร์พูล อย่างหนัก สาเหตุที่ทำให้ตาช่างเอียงต่างจากครึ่งแรกที่สูสีกันอยู่ดีๆเป็นเพราะ 1. แดนกลาง “หงส์ “ เริ่มเข้าบอลห่างไม่ติดเหมือนเก่า (เริ่มล้าใช้พลังมาหลายนัดติดๆกัน)และ 2. ทางฝั่งเจ้าถิ่นได้ใช้วิธีการวางยาวข้ามหัวมาทางริมเส้นให้ อีวาน เปริซิช วิ่งสอดหนี TAA ซึ่งแตกต่างจากในครึ่งแรกจะเน้นใช้วิธีให้แข้ง โครแอต วัย 33 ปีลำเลียงบอลไปเองมากกว่า แค่ 10 นาทีก็เกินพอที่ JK จะทนดูแล้วครับก่อนที่ทางหัวเรือใหญ่รายนี้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวรวดเดียว 3 คน (เกอิต้า, หลุยส์ ดิอาซ และ เฮนโด้ แทน เอเลียตต์, มาเน่ และ ฟาบินโญ่)
ข้อดีของกฏที่เปลี่ยนได้ 5 ตัวคือสามารถทำให้การแก้เกมครั้งนี้เกิดขึ้น + ที่ บ๊อบบี้ ลงมาตั้งแต่พักครึ่ง (โชต้า เจ็บข้อเท้า) ทำให้ยังมีโควต้าเผื่อเจ็บไว้อีก 1
หากจะพูดถึงการปรับหมากครั้งนี้ของ “ตาแว่น(หาย)”เป็นการแก้ทางบอลของ อินซากี้ ด้วยการเอา เฮนโด้ มาช่วยในทางฝั่งขวา, เอาทักษะการพลิกบอลให้รุกได้เปรียบของ เกอิต้า และอาศัยนักเตะใหม่อย่าง ดิอาซ มาเพิ่มความไวให้บอลไปข้างหน้าเร็วกว่าเดิมซึ่ง มาเน่ ค่อนข้างจะมีความอ่อนล้ามาจาก แอฟค่อน (แถมเจอ เบิร์นลีย์ ก็ตัวจริงอีก)
บรรดาแฟน เดอะ ค็อป อาจงงๆที่เห็นการเอาทาง ฟาบินโญ่ ออก เพราะเกมลักษณะนี้ตัวรับยืนหน้าเซนเตอร์คือห้ามแตะต้องด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นไปได้ว่า JK อาจจะเห็นว่าทาง อินเตอร์ พยายามที่จะหนีการเจาะตรงกลางไปออกริมเส้นหลังเจอคู่เซนเตอร์ทั้ง VvD และ โกนาเต้ เก็บกินเรียบ (หรือเจ็บอันนี้ไม่แน่ใจ)
สำหรับ เอเลียตต์ เราอาจจะเห็นว่าเกมนี้หนักเกินไปสำหรับเขาที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาเจอเกมที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดและเพรสกันไว ทรงบอลที่ออกมาจึงดูไม่มีอะไรและทำอะไรมากไม่ได้ไปกว่าคืนหลังเน้นชัวร์ ซึ่งในเกมบอลที่สูสีแบบนี้มันจึงต้องการลูกพลิกแพลงมากกว่านี้
รูปเกมดีขึ้นจริงแต่เป็นดีในแง่ที่หยุดความดุดันและความมุทะลุของ อินเตอร์ ลงมาเท่านั้น เริ่มที่จะมาได้เปรียบและเล่นสบายก็หลังจากที่ ฟีร์เมียโน่ สามารถโขกประตูจากลูกเตะมุมนี่แหละครับที่เป็นเหตุทำให้ “งูใหญ่” ถึงกับเข่าทรุด วิ่งเพรสไล่ขยี้สู้กันมาแต่ตามอยู่ดีๆตามหลังซะงั้น
เพียงแค่ประตูเดียวก็ว่ายากแล้วแต่เจ้าถิ่นมาโดนง่ายๆเพิ่มก่อนหมดเวลา 7 นาทีจากเซ็ตพีซยาวของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และเป็นทางด้าน VvD ที่ใหญ่กว่าโหม่งชงก่อนที่ โกนาเต้ ฉลาดพอที่จะปล่อยให้ “บัง” ที่หันหน้าเข้าหาประตูเล่นจนเป็นลูกแฉลบทำให้ขึ้นนำไปเป็น 2-0
แม้ว่ายังเหลือให้แก้ตัวอีก 1 เกมแต่ margin 2 ประตูในเกมลักษณะ toe to toe (สูสี) แถมเป็นเกมที่ต้องบุกมาเยือนถึงถิ่น แอนฟิลด์ มันเลยกลายเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างหนักเกินไปสำหรับ อินเตอร์ ที่ไร้ นิโคโล่ บาเรลล่า จอมทัพคนสำคัญที่ติดแบนเป็นนัดที่ 2
ไม่ได้ต้องการอะไรเพียงแต่เราอยากขอเตือนความจำของชาว เดอะ ค็อป เผื่อมีใครลืม เมื่อปี 2020 อตาลันต้า ก็เคยบุกมาชนะที่ แอนฟิลด์ 2-0 (รอบแบ่งกลุ่ม) ด้วยเกมเพรสซิ่งและ physical จนวันนั้น “หงส์แดง” สู้ไม่ได้เลย
สงครามครั้งนี้ยังไม่จบ วันที่ 8 มีนาคมนี้วัดกึ๋นของ อินซากี้ กับ คล็อปป์ ยก 2 กันต่อครับ
สถิติในเกม
เจมส์ มิลเนอร์ ลงเล่นเกมอาชีพนัดที่ 800 ให้ตัวเอง (275 กับ ลิเวอร์พูล, 203 แมนฯซิตี้, 136 นิวคาสเซิ่ล, 126 แอสตัน วิลล่า, 54 ลีดส์, 6 สวินดอน) โดยน้ามิล ในวัย 36 ปีมีค่าเฉลี่ยนลงเล่นต่อซีซั่นอยู่ที่ 20 เกม
โม ซาลาห์ เป็นนักเตะเพียงแค่รายที่ 2 เท่านั้นที่ยิงประตูทั้ง เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน ใน UCL ซีซั่นเดียวกันโดยก่อนหน้านี้ ปีเตอร์ เคราช์ ทำได้กับ สเปอร์ส ในปี 2010-11
ฮาร์วีย์ เอเลียตต์ (18 ปี 318 วัน) กลายเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในเกม UCL (รวมชื่อเดิม ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วย) โค่นเจ้าของสถิติเดิมคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ (18 ปี 354 วัน) ที่ทำไว้ในเกมกับ สปาร์ตัก มอสโกว์ เมื่อปี 2017
รูป www.90min.com, www.thairath.co.th, www.pptvhd36.com
เนื้อข่าว www.soccersuck.com