ชื่อของ ออสการ์ อาจจะได้ลืมเลือนไปแล้วจากสารบบของแฟนบอลไปบ้างแล้ว ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการที่ต้องโยกย้ายไปค้าแข้งกับทีมในลีกประเทศจีนย่อมอาจจะทำให้พื้นที่ทางหน้าสื่อของเจ้าตัวนั้นลดน้อยถอยลงไปด้วย
ซึ่งถ้าเกิดย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เจ้าตัวได้ตัดสินใจย้ายไปโกยเงินหยวนที่ลีกประเทศจีนนั้น ก็ได้เกิดมีเสียงวิจารณ์ถาโถมอย่างหนักหน่วงที่จะเป็นประเด็นสำคัญก็คงหนีไม่พ้นการครหาว่าเป็นพวกที่หิวเงินมากกว่าที่จะต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ใครเลยจะรู้ว่าเวลาผ่านไป ออสการ์ ก็สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาจริงจังมากกว่าแค่คำพูด และเสียงวิจารณ์ตามโซเชียล
หากย้อนอดีตกลับไปชื่อของ ออสการ์ ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากในฐานะแข้งดาวรุ่งที่มีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับสุดยอดแข้งแดน “แซมบ้า” อย่าง ริคาร์โด้ กาก้า
ช่วงชีวิตลูกหนังของนักเตะรายนี้ได้เริ่มต้นจากอคาเดมี่ที่มีชื่อว่า ยูนิโอ บาร์บาเรนเซ่ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าคัวนั้นได้มีฝีเท้าที่โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมรุ่นนั้นจึงทำให้ไปเตะตาแมวมองของทีม เซา เปาโล เข้าอย่างจังก่อนที่เจ้าตัวจะได้ย้ายไปสู่ทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศตั้งแต่มีอายุเพียงแค่ 13 ปี เท่านั้น
หลังจากได้เริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่กับทางทีม เซา เปาโล อยู่ประมาณราวๆ 6 ปี พร้อมได้โอกาสที่จะลงสนามสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2008 รวมแล้ว ออสการ์ ลงเล่นให้ทีมต้นสังกัดไป 14 นัด จากนั้น ออสการ์ ก็ได้รับข้อเสนอจากทีม อินเตอร์นาซิอองนาล ทีมคู่แข่งร่วมลีก แต่ทว่าในระหว่างการเจรจาก็ได้เกิดมีข้อพิพาทเรื่องของเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยที่ตัวแทนของนักเตะบอกว่าทางทีม เซา เปาโล ไม่ยอมที่จะจ่ายเงินเดือนตามที่ได้ให้สัญญาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ถึงขั้นมีเรื่องยื่นอุทธรณ์ทางกฎหมายต่างๆ จนกระทั่งจบลงด้วยการที่ทางทีม อินเตอร์นาซิอองนาล ยอมที่จะจ่าย 6 ล้านปอนด์ ให้กับทาง เซา เปาโล เพื่อที่จะเป็นค่าตัวของนักเตะดาวรุ่งอย่าง ออสการ์ ในวันนั้น
ซึ่งในช่วงเวลาที่ได้ลงเล่นให้กับ อินเตอร์นาซิอองนาล ก็ต้องบอกว่านี่อาจจะเป็นช่วงเวลาแจ้งเกิดอย่างแท้จริงของ ออสการ์ ในช่วงเวลา 3 ปีกับทีมเจ้าตัวลงสนามไปมากถึง 70 นัด ซัดไปทั้งหมด 19 ประตู ก่อนที่หลังจากนั้นประตูสู่ฟุตบอลยุโรปก็ได้เริ่มขึ้น มีหลายสโมสรใหญ่ต่างขายขนมจีบอยากที่จะได้นักเตะรายนี้ไปครอง ก่อนที่ในปี 2012 จะเป็นทางด้าน เชลซี ที่สามารถคว้าลายเซ็นของนักเตะหนุ่มคนนี้ไปได้ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์
แค่เพียงปีแรกที่ได้ลงเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ นักเตะหนุ่มรายนี้ก็สามารถคว้าโทรฟี่แชมป์มาเชยชมได้สำเร็จ แชมป์นั่นก็คือแชมป์ยูโรปาลีก ที่ ออสการ์ ก็มีส่วนร่วมกับทุกเกมที่ทีมได้ลงสนาม รวมไปถึงการที่นักเตะรายนี้ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศที่พบกับ เบนฟิก้า รวมทั้งหมดแล้วในซีซั่นแรกที่ ออสการ์ ได้ลงสนามในสีเสื้อ “สิงห์บลูส์” ไปทั้งหมด 64 นัด ซัดไปทั้งหมด 12 ประตู และยังมีอีก 12 แอสซิสต์
ถือได้ว่านี่คือการออกสตาร์ทในบอลลีกยุโรปได้อย่างยอดเยี่ยมและงดงามกับเด็กหนุ่มวัยเพียงแค่ 21 ปีในตอนนั้น ซึ่งชีวิตต่อจากนั้นก็เหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ ได้มีโอกาสเป็นตัวหลักของทีมชาติบราซิล และทางเจ้าตัวยังอยู่ในชุดที่คว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ในปี 2013 อีกด้วย
หากย้อนกลับไปในนามสโมสรตลอดระยะเวลา 4 ปีครึ่ง นักเตะรายนี้สามารถกวาดความสำเร็จมาได้ทั้งพรีเมียร์ลีก , ลีก คัพ 1 สมัย และยูโรปา ลีก 1 สมัย มีการลงสนามไปทั้งหมด 203 นัด ทำประตูได้ 38 ประตู บวกกับอีก 37 แอสซิสต์
ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตที่เขาเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ในวัย 26 ปีใครก็ต่างพูดกันว่าคือช่วงสำคัญที่กำลังเข้าสู่ช่วงพีคขั้นสุดของนักฟุตบอล และถ้า ออสการ์ เลือกที่จะอยู่ค้าแข้งในยุโรปต่อไปคงจะสามารถพัฒนาตัวเอง และอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชั้นนำของวงการได้อย่างแน่นอน
แต่ทางด้านเจ้าตัวไม่ได้คิดแบบนั้น ออสการ์ เลือกที่จะย้ายไปค้าแข้งในศึกไชนีช ซุเปอร์ลีก กับทีม เซียงไฮ้ เอสไอพีจี หรือในชื่อ เซี่ยงไฮ้ พอร์ต ในปัจจุบัน ด้วยค่าตัวสูงถึง 67 ล้านปอนด์ และยังพร้อมรับค่าเหนื่อยที่สัปดาห์ละ 400,000 ปอนด์ เพื่อที่จะแลกกับความสำเร็จในระดับสูงที่ใครต่างก็พากันเสียดายกับความสามารถของเขา
แน่นอนว่ากระแสวันนั้นได้ถาโถมเข้ามาหาตัวเขาอย่างมากมายเหลือเกิน ซึ่งกระแสส่วนใหญ่ก็ต่างพากันแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่านี้คืออาการ “หิวเงิน”
เพราะที่ผ่านมานั้นนักเตะส่วนใหญ่ที่ย้ายมาเล่นในลีกจีนคือนักเตะที่ใกล้จะแขวนสตั๊ดที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของอาชีพ หรือไม่ได้อยู่กับทีมในระดับเกรด A แล้ว แต่กัทางด้าน ออสการ์ กลายเป็นเรื่องใหม่ และตัวเขาเองก็คือหนึ่งในนักเตะที่บุกเบิกตลาดแดนมังกรได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากนั้นก็มีนักเตะชื่อดังอีกหลายคนต่อหลายคนเดินทางตามมาสมทบไม่ว่าจะเป็น มุสซ่า เดมเบเล่, ซาโลมอน รอนดอน, รามิเรส, มารูยาน เฟลไลนี่, มาร์โก อาร์เนาโตวิช หรือ คาร์ลอส เตเวซ
ส่วนในด้านผลงานในสนามด้วยที่นักเตะรายนี้มีฝีเท้าที่ดีอยู่แล้วนั้น ออสการ์ เขาแถบไม่ต้องปรับตัวเองอะไรมากนัก แถมสถาปนาตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางในเกมรุกค่อยที่จะสอดประสานกับกองหน้ารายอื่นๆ ซึ่งคู่ขาเขาก็เปลี่ยนสลับหน้ามาหลายคนแล้ว ไล่มาตั้งแต่ ฮัลค์, เอลเคสัน หรือ มาร์โก อาร์เนาโตวิช แถมยังพ่วงด้วยการได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม
ซึ่งจากคาดการณ์ในตอนนั้นคงไม่มีใครที่จะคาดคิดแน่ๆ ว่านักเตะหนุ่มรายนี้จะเลือกมาค้าแข้งกับทีมอย่างได้ยาวนานขนาดนี้ แถมเจ้าตัวยังไม่มีลูกงอแงออกมาพูดถึงประเด็นการกระสันในการอยากย้ายทีมเลยสักครั้ง ตัวเขานั้นเลือกที่จะก้มหน้าทำงานของตัวเองอย่างหนักตามแบบฉบับของมืออาชีพ และตรงนี้เองที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จสามารถคว้าแชมป์ลีกจีนมาครองเมื่อปี 2018 ก่อนที่จะต่อด้วยแชมป์บอลถ้วยในปี 2019
ถ้าเกิดจะมีเรื่องให้น่าเสียดายที่สุดคือเขายังไม่อาจพาทีมไปได้ไกลในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งที่นักเตะภายในทีมของเค้าสามารถคว้าเอื้อมมือไปสัมผัสแชมป์ได้แบบสบายๆ
วกกลับมาที่ชีวิตการมาค้าแข้งของ ออสการ์ นับนิ้วรวมแล้วปีนี้ก็เป็นปีที่ 5 ของเขาในแดนมังกรแล้ว ซึ่งถ้าจะพูดในอีกมุมมองเขาเองก็สามารถที่ตะพิสูจน์ให้แฟนบอลได้เห็นแล้วว่าตัวเค้านั้นไม่ได้มาเพียงโกยเงินเข้ากระเป๋าเพียงอย่างเดียว แต่เขามาที่นี่เพื่อที่ตะเล่นฟุตบอลที่เป็นอาชีพของเขา ส่วนในเรื่องของความสำเร็จก็มีแชมป์ติดมือ 2 ครั้งใน 5 ปี ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่อะไร
ตัวเลข 50 ประตู กับอีก 93 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 170 นัด ถือได้ว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ ซึ่งด้วยทักษะฟุตบอลที่เขามีทำให้สถิติดังกล่าวอาจจะไม่ได้น่าแปลกใจอะไรมากนัก เพราะตัวเขาเองมีสกิลลูกหนังที่อาจตะพูดได้ว่าเหนือกว่าทั้งผู้เล่นท้องถิ่น รวมไปถึงบรรดาแข้งโควต้าต่างชาติของทีมอื่นๆ ด้วย
ส่วนเรื่องของการใช้ชีวิต ออสการ์ ตอนนี้สามารถปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนในทางครอบครัวทั้งภรรยา และลูกก็เดินทางไปอยู่กับเขา ฉะนั้นมันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะลงหลักปักฐาน และแฮปปี้กับการใช้ชีวิตในเมืองเซี่ยงไฮ้
สุดท้ายแล้วชีวิตของ ออสการ์ นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ชั้นยอดจากนักเตะที่โดนคำครหาว่าชีวิตมีแต่เรื่องของเงิน ซึ่งนั้นก็อาจจะไม่แปลกหรอกครับ เพราะจะว่าไปชีวิตลูกหนังก็ไม่ได้ยืดยาวในช่วงที่สามารถโกยได้มีใครบ้างไม่อยากได้
แต่ในเคสของ ออสการ์ เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่แค่เรื่องเงินที่เขามอง แต่ตัวเขาเองยังทุ่มเทอย่างสุดตัวกับหน้าที่การงาน และยังสามารถต่อสู้กับเสียงวิจารณ์ด้วยผลงานจาก 2 เท้าของเขาเอง
ระยะเวลากว่า 5 ปี น่าจะพอเป็นคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด และอาจเป็นการตอกกลับเหล่านักวิจารณ์ได้เป็นอย่างดี
รูป www.arqtricolor.com, www.90min.com, www.chinadailyhk.com, www.siamsport.co.th, m.imdb.com
เนื้อข่าว www.khobsanam.com