เมสัน กรีนวู๊ด ตัวเขานั้นไม่ใช่วัยรุ่นแมนเชสเตอร์โดยกำเนิด ตัวเขาเกิดที่เมือง แบรดฟอร์ด ทางตะวันออกของแคว้นยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยมีเชื้อสายจาเมก้า ก่อนเดินทางมาเข้าโรงเรียนลูกกรอกคะนองวิทยาในเมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อมาฝึกฝนวิชาฟาดแข้ง ตั้งแต่อายุได้แค่เพียง 6 ขวบ
นักเตะรายนี้ได้สร้างชื่อเสียงเอาอย่างมากในตำแหน่งกองหน้าดาวรุ่งพุ่งกระฉูดของทางด้านทีมปีศาจแดงชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี ด้วยการที่เขานั้นสามารถทำไปได้ 17 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 21 เกมในศึกพรีเมียร์ลีกระดับเยาวชนและตัวเขายังสามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด เมื่อฤดูกาล 2017-18
ฤดูกาลต่อมา โชเซ่ มูรินโญ่ จึงได้เรียกนักเตะหนุ่มวัยแค่ 17 ปีในตอนนั้นให้ขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยพาไปทัวร์สหรัฐ อเมริกา ด้วยกัน ก่อนจะเปิดฤดูกาล 2018-19 อย่างไรก็ตาม “มูมู่” ก็ไม่เคยที่จะให้โอกาสดาวรุ่งผู้นี้ลงสนามเลยสักนัดเดียวจนกระทั่งตัวเองถูกปลดออกจากตำแหน่ง และคนที่มามอบโอกาสให้ เมสัน กรีนวู๊ด อย่างจริงจังก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
ในซีซั่น 2018-19 นักเตะหนุ่มรายนี้ได้ลงเล่นรวมกันทุกรายการเพียงแค่ 4 นัด กระทั่งฤดูกาล 2019-20 จึงได้โอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่สามารถพาตัวเองเป็นผู้เล่นตัวหลักของปีศาจแดงเลยทีเดียว ปัจจุบันอายุเพิ่ง “ยี่สิบ” เท่านั้นเอง
ฤดูกาลนี้ เมสัน กรีนวู๊ด ได้เปิดฉากด้วยความร้อนแรงแบบสุดยอดมาก เมื่อตัวเขาได้ฉายแสงโดยการจัดไป 3 ประตู จากการลงเพียง 3 นัดแรกในพรีเมียร์ลีกว่ากันว่าเหตุการณ์อื้อฉาวที่เขาก่อ (ทำร้ายร่างกายแฟนสาว) บังเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนฝ่ายหญิงเพิ่งเอามาแฉเมื่อก่อน สังเกตได้ว่านับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 เป็นต้นมา เจ้าหนูสิงห์นักเตะผู้นี้ลงเล่นไป 12 นัดในทุกรายการ และตัวเขาทำได้แค่ 2 ประตูเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือเหมือน เมสัน กรีนวู๊ด จะสนใจแต่การทำประตูเพียงอย่างเดียวจนน่ารำคาญ ทำให้ตัวเขาเล่นก็ไม่เป็นเกม และไม่เล่นไม่ค่อยเข้าขากับเพื่อนร่วมทีมสักเท่าไหร่ แต่ที่เจ้าตัวยังได้ลงเล่นอย่างเป็นสม่ำ เพราะทางผู้จัดการทีมคาดหวังเรื่องการพังประตูอันรุนแรงและเฉียบคมของเขานี่แหละ บ่อยครั้งที่ดาวรุ่งผู้นี้ทำให้ศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ต้องยักไหล่แบบ “พ่อไม่เข้าใจตุ้ม” พลางทำหน้าไม่สบอารมณ์ เช่นเดียวกับที่บ่อยครั้งที่เขาชอบกระชากเสียงสบถจากท่านผู้ชมประเภทเด็กผีว่า “ก็อดแดมน์ ดั๊มชิต สติดปิด แอนด์ มาเธอร์ฟัคเกอร์”
สงสัยว่าจิตใจจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยอาจจะกลัวว่าเรื่องที่ตัวเองเคยทำร้ายร่างกายแฟนสาวจะถูกนำมาแฉจึงเล่นเหมือนผูกระเบิดเวลาเอาไว้ที่ข้อเท้าตลอดเวลา ต้องสารภาพตามตรงว่าเราไม่มีข้อมูลเรื่องนอกสนามของทาง เมสัน กรีนวู๊ด มากสักเท่าไหร่ หรือเรื่องทางครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร ตอนเด็กๆ ตัวเขาเคยมีปัญหา และขาดความอบอุ่นหรือเปล่า
แต่นักฟุตบอลอาชีพส่วนใหญ่จะเลือกที่จะเตะบอลมากกว่าเรียนหนังสืออยู่แล้ว หลายคนพลักดันตัวเองออกจากทางครอบครัวอย่างรวดเร็วเกินไปจนในบางทีอาจไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีจากผู้ปกครองมากพอ
ฉะนั้นฐานะผู้ปกครอง นอกจากพ่อแม่และเครือญาติ – ผู้จัดการทีมจึงมีความสำคัญต่อนักเตะวัยคะนองและซอยยิกแบบนี้อย่างยิ่งยวด คิดง่ายๆ สมมุติว่า “เจ้าไม้เขียว” เติบโตมาในยุคที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ยังมีพ่อใหญ่อย่างทาง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แน่นอนว่านักเตะหนุ่มรายนี้ย่อมได้รับการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวดและกวดขันมากกว่านี้แน่นอน เนื่องด้วยเพราะป๋านั้นเป็นมากกว่าแค่ผู้จัดการทีม คำว่า “ป๋า” ที่ทุกคนเป็นคนมอบให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มันก็แปลตรงตัวว่า “พ่อ” ด้วยเปรียบเสมือน “บิดา” ของลูกทีมหลายคน ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ เดวิด เบ็คแฮม ที่นับถือ “เฟอร์กี้” เสมือน “พ่อ” ของตัวเอง
ผิดกับผู้จัดการทีมปีศาจแดงภายหลังยุคป๋าที่มาคุมทีมแบบว่าแค่เอาตัวรอดไว้ก่อน โดยไม่ได้คิดที่จะม่ข่วยสร้างอาณาจักรแห่งความสำเร็จอย่างมั่นคงในระยะยาว “เฟอร์กี้” จึงดูแลลูกทีมที่ยังเป็นวัยรุ่นอย่างดี เพราะเรารู้กันดีว่าพวกเขาเหล่านี้มีโอกาสใช้ชีวิตผิดทางได้ง่ายๆ
ขนาดป๋าที่ว่าแน่ๆ บางครั้งป๋าเองก็ยังเอานักเตะดาวรุ่งในการปกครองของตัวเองไม่ค่อยอยู่เลย แล้วจะมานับประสาอะไรกับกุนซือประเภทรับจ้างทั่วไปอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่, โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และราล์ฟ รังนิค เพราะความเป็นวัยรุ่นและความกล้าได้กล้าเสีย มันพุ่งพล่าน มันจึงกลายเป็นเรื่องอยากที่จะรับมือหรือเอาเวลามาใส่ใจวัยรุ่ยเหล่านั้น
เมสัน กรีนวู๊ด จัดเป็นดาวรุ่งผู้เคยถูกตีราคาว่าเป็นผู้เล่นแห่งอนาคตที่ค่าตัวจะสามารถทะลุ 100 ล้านปอนด์ และปัจจุบันรับค่าเหนื่อยกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ที่สัปดาห์ละ 75,000 ปอนด์ มันจึงลงตัวเลยครับ อายุและวุฒิภาวะยังน้อย แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดังระดับมหาดารา แถมยังมีเงินมากมายตั้งแต่ยังหนุ่ม จึงทำให้หลงผิดคิดว่าตัวเองนั้นวิเศษเลิศเลอแบบเต็มประดาแล้วจึงทำให้ทำอะไรแบบไม่คิดก่อนทำ
ความจริง “ไอ้ไม้” ออกอาการออกนอกลู่นอกทาง ตั้งแต่ถูกเรียกไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรกแล้ว ก็เจ้านักเตะหนุ่มรายนี้ดันเรียกหญิงขายบริการขึ้นมา “ปิ๊ดปี้ปิ๊ด” ที่โรงแรมในช่วงโควิดกำลังระบาดอย่างหนัก เมื่อเดือนสิงหาคม 2020 ผลมาจากอารมณ์ส่วนตัวในครั้งนั้น เขาจึงถูกปลดออกจากเครื่องแบบทีมชาติอังกฤษทันที แล้วไม่เคยกลับไปติดธงได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้น
นอกจากเรื่องของฟอร์มการเล่นและอาการบาดเจ็บ – ก็มีพฤติกรรมนอกสนามนี่แหละน่าจะเป็นเหตุผลตัวสำคัญที่บอกว่าทำไมจึงถูกกุนซือสิงโตคำรามอย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่เลือกนักเตะรายนี้ มาคิดดูแล้วก็ปวดหัวบวกกับเสียดายในฝีเท้า เพราะหากมีกุนซือที่เป็นผู้ปกครอง คอยดูแลและเอาใจใส่
เมสัน กรีนวู๊ด น่าจะเป็นดาวเตะที่อนาคตไกลเลยทีเดียว ทีนี้ถามว่าวีรเวรที่ก่อจะทำให้ดาวรุ่งไฟแรงผู้นี้หมดอนาคตไปหรือเปล่า ???
บางทีมันอาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ
1. ตัวเขาเอง
2. ต้นสังกัด
3. สังคมนั่นแหละ
อนาคตของเจ้าไม้เขียว
สำหรับเรื่องคดีความ ถ้าหากตัดสินออกมาแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางต้นสังกัด แมนฯ ยูไนเต็ด จะยังเก็บนักเตะหนุ่มรายนี้ไว้พลางให้โอกาสแก้ตัว หรือเลือกที่จะตัดหางปล่อยวัดไปเลย
เรื่องนี้ต้องคิดหนักเช่นกัน เพราะสิ่งที่ทำมันถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงของสโมสรมิใช่น้อย
ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่ใจร้ายไส้ระกำถึงขั้นที่จะตัดนักเตะหนุ่มรายนี้ออกจากทีม ส่วนในทางสังคมจะให้อภัยหรือเปล่านั้นก็ต้องบอกว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย
เหตุเพราะผู้คนในสังคมยุคปัจจุบันอันถูกครอบงำด้วยระบบโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค ดูจะชื่นชอบและหื่นกระหายในเหยียบย่ำและซ้ำเติมใครสักคนให้จมลงไปชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดประหนึ่งว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน
บางทีการกลับตัวกลับใจ แล้วสังคมให้อภัยจึงอาจไม่มีจริงในสังคมสมัยนี้
รูป www.90min.com, www.manchestereveningnews.co.uk, www.bbc.com
เนื้อข่าว www.siamsport.co.th