จบลงไปแล้วสำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกยูโร 2020 ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันที่สุดมันส์ และดุเดือด รวมไปถึงมีการพลิกโผผ้าป่าคว่ำกันหลายคู่เลยทีเดียว
ซึ่งในรอบน็อกเอาท์นี้มีหลากหลายประตูที่โดดเด่น รวมไปถึงนักเตะที่ทำประตูได้อย่างเฉียบคม ว่าแล้วเราจะพาไปดูเหล่าแข้งฝีเท้าคมที่ซัดประตูในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกัน ซึ่งจะมีใครบ้างไปติดตามกันได้เลย
ปอล ป็อกบา (ฝรั่งเศส)
แม้ทีมจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แต่ประตูจากปลายสตั๊ดของ ปอล ป็อกบา นั้นมันน่าจดจำเสียเหลือเกิน อย่างที่เราได้เห็นกันไปในเกมที่ทัพ ฝรั่งเศส พ่ายแพ้ให้กับ สวิตเซอร์แลนด์ แต่ทว่าด้วยสถานการณ์ ณ ตอนนั้น ต้องบอกว่าประตูของมิดฟิลด์ผู้นี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นประตูที่ทำให้ทีมหนีห่างคู่แข่งเป็น 3-1 ในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม
โดยในจังหวะดังกล่าว ป็อกบา ได้บอลจากจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า ยิง และบอลไปติดบล็อคคู่แข่งก่อนมาเข้าทางของเขา ซึ่งด้วยระยะทาง และพื้นที่ที่เปิดกว้างเหลือเกิน รวมไปถึงมีเวลาให้ ป็อกบา ได้เลือกเลยว่าจะสังหารไปจุดไหน สุดท้ายเขาเลือกปั่นโค้งๆ เสียบใต้คานเข้าไปอย่างงดงาม
ฉะนั้นไม่แปลกถ้าประตูนี้ของ ป็อกบา จะได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากทั้งเรื่องของความสวย และความลงตัวในทุกๆ อย่าง แต่จะว่าไปประตูในลักษณะแบบนี้เราก็ค่อนข้างจะเห็นกันบ่อยครั้งเหลือเกินจากความสามารถของชายผู้นี้
ธอร์ก็อง อาซาร์ (เบลเยี่ยม)

อีกหนึ่งประตูยิงไกลที่ถูกส่งเข้าประกวดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายคราวนี้ โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ เบลเยี่ยม เฉือนเอาชนะ โปรตุเกส ได้สำเร็จ และประตูของ อาซาร์ คนน้องก็สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะคือประตูชัยที่พาทีมกรุยทางเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป
ซึ่งจังหวะดังกล่าวต้องชื่นชม และปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของ อาซาร์ จริงๆ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าแนวรับของทัพ “ฝอยทอง” นั้นปล่อยให้ดาวเตะผู้นี้มีพื้นที่ และเวลามากเกินไป และเมื่อบอลออกจากเท้า อาซาร์ ทุกอย่างมันลงตัวไปหมดทั้งน้ำหนัก, ความเฉียบคม และที่สำคัญเมื่อบอลมันส่ายขณะแหวกว่ายอยู่ในอากาศยิ่งเพิ่มอัตราการเซฟยากของนายทวารเข้าไปอีก
และด้วยประตูดังกล่าวมันเลยพาทัพ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ผ่านเข้าไปพบกับ อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และด้วยความร้อนแรงของ ธอร์กอง อาซาร์ ที่ซัดไปแล้ว 2 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ก็อาจจะมีประตูงามๆ มาฝากเป็นของขวัญให้แฟนบอลอีกครั้ง
แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก (เดนมาร์ก)
กองหน้าวัย 23 ปี ที่เพิ่งจะได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงเป็นนัดแรกในศึกยูโร 2020 คราวนี้ เพราะในรอบแบ่งกลุ่มเจ้าตัวลงสนามรวมกันเพียง 30 นาทีเท่านั้น แต่ทว่าด้วยบุญพาวาสนาส่ง ยุสซุฟ โพลเซ่น ได้รับบาดเจ็บเขาจึงได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงในทันที
และเมื่อโอกาสมาถึงมีหรือที่เขาจะปล่อยให้หลุดมือ ดอลเบิร์ก จัดการเหมาคนเดียว 2 ประตูในเกมที่ถล่ม เวลส์ แบบราบคาบ 4-0 ซึ่งประตูแรกนี้ถือว่าทีเด็ดพอควรเมื่อเจ้าตัวได้บอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษก่อนค่อยๆ แตะบอลหาจังหวะก่อนซัดด้วยเท้าขวาบอลโค้งแบบเห็นๆ ผ่านมือนายด่านเข้าไปอย่างสวยงาม
หรือประตูที่ 2 ของเขาอาจมาจากความผิดพลาดของทัพ “มังกรแดง” ที่สกัดบอลมาเข้าทางเจ้าตัวที่ยืนโล่งๆ อยู่ในกรอบเขตโทษ ว่าแล้ว ดอลเบิร์ก ก็แสดงความมั่นใจด้วยการตะบันเข้าไปอย่างเต็มแรงเป็นการพาทีมหนีห่างออกไปเป็น 2-0
โดยทัพ “โคนม” จะโคจรไปพบกับ สาธารณรัฐเช็ก ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ว่าแล้วมันก็แลดูสูสีเหลือเกิน และด้วยความมั่นใจที่พกพาใส่กระเป๋าอย่างเต็มเปี่ยมไม่แน่ แคสเปอร์ ดอยเบิร์ก อาจจะแสดงความเฉียบคมพังตาข่ายอีกครั้งก็เป็นได้
คาริม เบนเซม่า (ฝรั่งเศส)
พกพาความมั่นใจมาจากเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่กระหน่ำซัด 2 ประตูใส่ โปรตุเกส และกับรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ทัพ “ตราไก่” ต้องทำประตูให้ได้เนื่องจากเป็นฝ่ายตามหลังตั้งแต่ต้นเกม ฉะนั้นเมื่อมีนักเตะที่มีสัญชาตญาณกองหน้าอย่าง คาริม เบนเซม่า อยู่ในทีม คุณย่อมคาดหวัง และฝากความหวังไว้ได้เสมอ
แม้ 2 ประตูที่ทำได้อาจจะไม่ได้สวยงามเท่ากับคนอื่นๆ แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นกองหน้าขนานแท้ของ เบนเซม่า ทั้งอยู่ถูกที่ถูกเวลา และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีเยี่ยม
สุดท้ายแม้ว่า 2 ประตูของเขาจะไม่อาจช่วยให้ ฝรั่งเศส ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ แต่ตัวเลข 4 ประตู จาก 4 เกม มันก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับการคืนสู่สีเสื้อทัพ “ตราไก่” อีกครั้ง หลังหายหน้าไปนานถึง 6 ปี
ฮาริส เซเฟโรวิช (สวิตเซอร์แลนด์)

ฮีโร่ของชาวสวิส กับการเหมาคนเดียว 2 ประตูใส่แชมป์โลกอย่าง ฝรั่งเศส เริ่มจากประตูแรกที่โหม่งลูกนั้นเข้าไปเป็นการขึ้นนำทัพ “ตราไก่” ไปก่อน ส่วนประตูที่สองตอกย้ำความเป็นจ้าวเวหาของเขาอย่างแท้จริง เมื่อโหม่งให้สวิสตีตื้นขึ้นมาเป็น 2-3 ก่อนที่ มาริโอ กาฟราโนวิช จะตีเสมอให้กับทีมจากแดนนาฬิกาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
นอกจากจะเป็นประตูที่ช่วย สวิส ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว แถมยังได้ดิ้นเฮือกลุ้นจนกระทั่งหายใจได้ตามปกติด้วยการเอาชนะจุดโทษได้สำเร็จ นี่แหละประตูที่มีค่ามหาศาล และพาทีมให้ยังคงอยู่ในเส้นทางฝันสร้างประวัติศาสตร์ต่อไป
แพทริค ชิค (สาธารณรัฐเช็ก)
ดาวยิงของทีมชาติเช็ก ก่อนจะเข้ารอบน็อกเอาต์ถูกปรามาสว่าน่าจะกระสุนหมดแล้ว หลังจากจบรอบแรกด้วยการยิงไปทั้งสิ้น 3 ประตู แต่ว่ามันกลับไม่เป็นแบบนั้น แม้ว่าจะเจอกับทีมที่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งอย่าง เนเธอร์แลนด์ ก็ตาม
ชิค นั้นทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คอยกดดันแนวรับของทีม “อัศวินสีส้ม” ได้โดยตลอด ก่อนที่สุดท้ายจะตะบันประตูปิดฝาโลงพาทีมเช็ก เข้ารอบไปได้สำเร็จ และมีโอกาสที่จะเป้นม้ามืดของรายการนี้แบบเดียวกับที่พวกเขาเคยทำเอาไว้เมื่อศึกยูโร 96
อัลบาโร่ โมราต้า (สเปน)
ปิดท้ายด้วยกองหน้าจากทัพ “กระทิงดุ” ที่โดนเสียงวิจารณ์มากพอสมควรจากเกมในรอบแบ่งกลุ่ม เนื่องด้วยผลงานสากยิงประตูไม่ได้เลยทั้งที่มีโอกาสอยู่หลายครั้งหลายหนไม่ว่าจะเป็นจุดโทษ หรือจังหวะหลุดเดี่ยวก็ยังไม่อาจเบิกสกอร์แรกของทัวร์นาเมนต์ได้เสียที
จนกระทั่งมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายความเฉียบคมของเขาก็ได้เผยออกมาในช่วงต่อเวลาพิเศษการซัดลูกนั้นเข้าไปทำให้ สเปน ขึ้นนำเป็น 4-2 ส่งผลให้ทีมเล่นง่ายขึ้นเยอะ ส่วนประตูนั้นต้องยกให้ว่าสุดสวยมากพอควร ทั้งจังหวะจับบอลลงด้วยเท้าขวา ก่อนตะบันด้วยเท้าซ้าย เรียกได้สมบูรณ์แบบสุดๆ และยังถือว่าเป็นการลบเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลไปได้มากพอสมควร