“ผมอยากอยู่ที่ บาร์เซโลน่า ที่นี่คือบ้านของผม แต่วันนี้ผมต้องบอกลาในทุกช่วงเวลากับสโมสรแห่งนี้” ถ้อยคำอำลา พร้อมคราบน้ำตา ที่เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าต่อจากนี้สโมสร บาร์เซโลน่า จะไม่มีสุดยอดนักเตะแบบ ลิโอเนล เมสซี่ อีกต่อไปแล้ว
ช่วงเวลากว่าหลาย 10 ปี สโมสรแห่งนี้มีความผูกพันกับนักเตะคนนี้เป็นอย่างมากจาก ดาวรุ่ง ก้าวผ่านทุกเสียงวิจารณ์ และคำสบประมาทจนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับตำนานของสโมสร แต่ทว่าเวลาทุกอย่างถูกหยุดลงไว้แต่เพียงเท่านี้เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนสโมสร บาร์เซโลน่า ยังคงต้องเดินไปข้างหน้า ว่าแล้วสิ่งที่ ของเราอยากจะนำเสนอนั้นก็คือสิ่งที่ทัพ “อาซูลกราน่า” ควรต้องทำในวันที่ไม่มี ลิโอเนล เมสซี่ อีกแล้ว
ปรับตัวกับระบบที่ไร้ เมสซี่
สิ่งที่เราพบเจอมาตลอดในช่วงหลายปีหลังคือการที่ บาร์เซโลน่า ต้องมี ลิโอเนล เมสซี่ เป็นศูนย์กลางของเกมรุกที่ไม่ใช่เพียงแต่การผลิตสกอร์เพียงอย่างเดียว แต่มันครอบคุลมทุกเรื่องในแผนกเกมรุกเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็นการถอยต่ำลงมารับบอล ก่อนแจกจ่ายไปขึ้นไปยังแดนหน้า หรือสร้างสรรค์โอกาสแอสซิสต์เพิ่มประตูให้กับทีม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทัพ “อาซูลกราน่า” พวกเขาเคยชินกับการมีศูนย์กลางอย่างสตาร์คนนี้มาโดยตลอด แน่นอนมันสังเกตุเห็นเด่นชัดเลยว่าเกมไหนที่พวกเขาไม่มี เมสซี่ ประสิทธิภาพในแนวรุกก็แทบจะด้อยลงไปเกินกว่าครึ่ง
ฉะนั้นแล้วกับโฉมใหม่ของ บาร์เซโลน่า สิ่งที่พวกเขาต้องเร่งมือ และปรับเปลี่ยนใหม่คือการไม่ได้หวังพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป การที่พวกเขามี เมสซี่ มาตลอดมันเลยกลายเป็นดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองได้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันนี้ที่มาถึงแล้ว
เหล่าบรรดานักเตะเกมรุกทั้งหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า ต้องเร่งปรับตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยให้มีความกลมกลืนมากที่สุดเพื่อผลงานที่พวกเขาได้ตั้งความหวังเอาไว้
การผลิตประตู
สืบเนื่องจากประเด็นด้านบนก็เป็นอีกสิ่งที่ เมสซี่ รังสรรค์ไว้ยากเกินกว่าที่จะหาใครจะคนมาแทนที่ได้แบบรวดเร็ว และกระทันหันแบบนี้ เพราะจำนวนประตูขั้นต่ำในแต่ละฤดูกาลที่เขาทำไว้ในระดับที่เยอะมากๆ และถ้านำมาหักลบกันเชื่อเลยผลงานของ บาร์เซโลน่า จะไม่ได้ออกมายอดเยี่ยมอย่างที่แฟนบอลได้เชยชม
โอเคแหละครับว่าฟุตบอลคือกีฬาที่เน้นไปที่การเล่นเป็นทีม แต่อย่างหนึ่งที่ยกมือเถียงไม่ได้เลยคือจำนวนประตูกว่าครึ่งในแต่ละฤดูกาลย่อมมีชื่อของ เมสซี่ เข้าไปพัวพันอยู่ด้วย
ซึ่งเมื่อมาถึงวันที่ไร้เงาของ เมสซี่ ทีมก็ต้องช่วยกันผลิตสกอร์กันให้มากกว่าเดิม โดยสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อออกไปไม่ได้บอกว่าให้หาใครสักคนเข้ามาเพื่อเป็นเพชรฆาตรหมายเลข 1 ในการก้าวขึ้นมาทดแทน แต่อย่างน้อยเหล่านักเตะที่มีสกิลกระหน่ำประตูดีๆ อย่าง เมมฟิส เดปาย, เซร์คิโอ อเกวโร่ หรือพวกที่อยู่มาก่อนอย่าง อ็องตวน กรีซมันน์, อุสมาน เดมเบเล่ รวมไปถึง มาร์ติน เบรทเวต เองก็ต้องยกระดับมาตรฐานของตัวเองให้สูงขึ้นกว่าเดิม
และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือรายชื่อที่กล่าวมาข้างต้นนั้นต้องสามารถหาข้อแตกต่างให้ทีม หรือเป็นตัวโจ๊กเกอร์ที่สามารถเป็นคนตัดสินผลการแข่งขันของทีมให้ได้จากแพ้เป็นเสมอ หรือจากเสมอเป็นแพ้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสำคัญเป็นอย่างมาก และ เมสซี่ ก็คือนักเตะในจำนวนนั้นที่แฟนบอลสามารถคาดหวังการผลิตสกอร์ในห้วงเวลาที่ทีมต้องการได้
หาดาวดวงใหม่จาก ลา มาเซีย
ศูนย์ฝึก ลา มาเซีย ขึ้นชื่ออยู่แล้วกับการปลุกปั้นนักเตะขึ้นมาประดับวงการลูกหนัง และเชื่อว่าตอนนี้ยังมีดาวอีกหลายดวงพร้อมที่จะถูกเจียระไนให้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมชุดใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
ซึ่งเมื่อสาดสายตามองไปก็มีหลายคนที่เคยได้รับโอกาสแล้วอย่างสดๆ ร้อนๆ เลยนั้นก็คือ ยูซุฟ เดเมียร์ กองกลางวัย 18 ปี ที่ลีลาดูพริ้วไหว และมีอนาคตไม่ใช่น้อย ส่วนในตำแหน่งกองหน้าก็อย่างเช่น จอร์ดี้ เอสโคบา, กุสตาโว่ ไมร่า หรือ นิลส์ มอร์ติเมอร์ ต่างก็เฝ้ารอโอกาสในการแสดงฝีเท้า
ส่วนคนสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ อัตซู ฟาติ ที่เชื่อว่าฤดูกาลนี้เจ้าตัวน่าจะถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยฝีเท้า และผลงานในช่วงที่ผ่านมามันชวนให้นึกถึงว่าเขานี่แหละมีโอกาสมากที่สุดแล้วกับการเติบโตขึ้นมาทดแทน เพราะด้วยการเป็นเด็กในคาถาของสโมสร รู้ความต้องการของสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และเพิ่งอายุเพียง 18 ปี ทีมสามารถฝากอนาคตไว้ที่เด็กคนนี้แบบยาวๆ เลยทีเดียว
พิสูจน์ผลงานด้วยความสำเร็จ
บาร์เซโลน่า เป็นสโมสรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการโกยความสำเร็จมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทีมมีชายที่ชื่อ เมสซี่ สวมเสื้อของสโมสรอยู่ แม้จะมีบ้างในบางซีซั่นที่ต้องอกหักพ่ายแพ้ไร้โทรฟี่แชมป์ติดมือ แต่ทว่าพวกเขาก็ดีดตัวเองกลับมายืนอยู่เหนือกว่าทุกทีมได้อยู่เสมอ
เช่นเดียวกับห้วงเวลานี้แม้จะไม่ได้มีซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 1 อยู่กับทีมแล้ว แต่ทว่าสโมสรก็ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไล่ล่าความสำเร็จในรูปแบบที่ตนเองเคยเป็นมา
แน่นอนกับโฉมใหม่ของพวกเขามันค่อนข้างยากที่จะเริ่มต้นโดยที่ไม่ได้มีแนวรุกคนสำคัญ แต่ทว่าถ้ามองในอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการช่วยให้พวกเขาต้องรวมพลังเพื่อฮึดสู้กันมากกว่าเดิม พวกเขายังคงเป็นตัวเต็งในทุกรายการที่มีโอกาสได้ลงสนามแข่งขัน ฉะนั้นแล้วความสำเร็จในรูปแบบโทรฟี่แชมป์ไม่ว่าจะเป็นในรายการไหนคงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นยอดว่ายุคใหม่ของ “อาซูลกราน่า” ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว