จบกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการแข่งขันของกลุ่ม อี ในศึก ยูโร 2020 เรื่องทิศทางและความไปในกลุ่มนี้จะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวไปติดตามคอนเทนต์จากทางเรา “ขอบสนาม” ได้เลย ครับ !
สวีเดน
สวีเดน เปิดหัวได้สวยในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2020 จากการยันเสมอ สเปน มาได้ 0-0 ทั้งที่องค์ประกอบและรูปเกมต่างๆ เป็นรองสุดๆ ตลอดช่วง 90 นาทีพวกเขาโดนขยี้อยู่ฝ่ายเดียว เล่นทำเอาหายใจกันไม่ทั่วท้องเลยจริงๆ ตามด้วยเกมที่ 2 สวีเดน ที่เจอกับ สโลวาเกีย พวกเขาก็เป็นฝ่ายที่เล่นได้ดีกว่า ครองเกมบุกได้มากกว่า มีจังหวะได้ลุ้นถึง 10 ครั้ง แต่ประตูเดียวที่ตัดสินเกมก็คือลูกจุดโทษช่วงท้ายเกมของ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ก็ถือว่ามีโชคช่วยอยู่เหมือนกัน
เช่นเดียวกับเกมนัดสุดท้ายที่เจอกับ โปแลนด์ ทาง สวีเดน ก็ทำผลงานได้ดีกว่าแบบจับต้องได้ด้วยตาเปล่า เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 2-0 จาก เอมิล ฟอร์สเบิร์ก คนเดิม ดูเหมือน 3 คะแนนจะนอนมาง่ายๆ แต่ไปๆ มาๆ ทาง โปแลนด์ เองก็มีทีเด็ด โดยได้ลูกฮึดและความเด็ดขาดจากยอดกองหน้าอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ช่วยตามตีเจ๊าได้ 2-2 ถึงแม้จะจบด้วยสกอร์นี้มันก็การันตีแล้วว่า ยังไง สวีเดน ก็ได้เข้ารอบ แต่เป็นในฐานะรองแชมป์กลุ่ม ทว่าประตูชัยของ วิคตอร์ แคลสสัน ช่วงทดเจ็บมันทำให้พวกเขาเป็นแชมป์กลุ่มเหนือ สเปน เข้าไปพบกับ ยูเครน ในรอบหน้า ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียวว่าพวกเขาจะไปได้ไกลขนาดไหน
สเปน
ในกลุ่ม อี สเปน ถูกมองว่าเป็นชาติที่เป็นตัวเต็งที่จะเป็นแชมป์กลุ่ม และเข้ารอบแบบนอนสบายด้วยถ้าดูจากคู่แข่งทีมอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเลย เพราะ 2 เกมแรกในการเจอกับ สวีเดน และ โปแลนด์ พวกเขาเป็นทีมที่ครองเกมบุกได้เหนือกว่าร้อยเปอร์เซนต์ก็จริง มีจังหวะและโอกาสเข้าทำที่มากกว่าแบบเห็นได้ชัด แต่ก็ติดปัญหาในเรื่องของความเด็ดขาดที่ปิดสกอร์ไม่ได้ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แนวรุกของสเปนจะโดนวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยเฉพาะ อัลบาโร่ โมราต้า
แต่เกมล่าสุดที่เจอกับ สโลวาเกีย ค่อยเล่นสมกับเป็น ทีมชาติสเปน หน่อย เพราะจัดการไล่ถล่ม ทีมชาติสโลวาเกีย ไปแบบยับเยิน 5-0 ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่าคู่แข่งเหมือนทุกนัดที่ผ่านมา นับเป็นชาติที่ถล่มคู่แข่งยับเยินที่สุดในศึก ยูโร 2020 หนนี้ เบ็ดเสร็จ 3 นัด มี 5 คะแนนเข้ารอบไปในฐานะการเป็นรองแชมป์กลุ่ม เท่ากับว่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย สเปน ต้องไฝว้กับ โครเอเชีย ทีมรองแชมป์โลกเมื่อ 3 ปีก่อน
สโลวาเกีย
น่าเสียดายสุดๆ สำหรับ สโลวาเกีย เพราะพวกเขาเปิดหัวได้สวยงามมากๆ กับการอัด โปแลนด์ ไป 2-1 ตามด้วยเกมที่ 2 ที่เจอกับ สวีเดน พวกเขาเป็นรองแบบเห็นได้ชัดทั้งเรื่องการครองบอล และการหาจังหวะเข้าทำ เพราะ สวีเดน เล่นเป็นฝ่ายเปิดหน้าโจมตีใส่อยู่ฝ่ายเดียว ไม่รู้ว่าวันนั้นตั้งใจมาเน้นเสมอเพื่อแบ่งแต้มหรือเปล่า ถ้าไม่โดนลูกจุดโทษของ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก บางที พวกเขาอาจยันเสมอได้ และเก็บหนึ่งคะแนนและได้ตั๋วเข้าสู่รอบต่อไป
การมี 3 คะแนนของ สโลวาเกีย ก็ยังถือว่าลุ้นได้อยู่กับการเป็น 1 ใน 4 ของทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายก็โชคร้ายดันมาเจอ สเปน ที่ฟอร์มเข้าฝักและท็อปฟอร์มสุดๆ โดนไล่ถล่มไป 5-0 สุดท้ายก็กลายเป็นว่า ไม่ได้ลุ้นอะไร เพราะในชาร์ตทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดจาก 6 กลุ่ม สโลวาเกีย รั้งท้ายของกลุ่ม เพราะมีลูกได้เสียติดลบถึง 5 ประตูด้วยกัน
โปแลนด์
จริงๆ โปแลนด์ ก็ถือเป็นชาติที่มีนักเตะที่ชื่อคุ้นหูคุ้นหน้าอยู่หลายคนในทุกๆ ตำแหน่ง โดยเฉพาะกองหน้าที่มียอดดาวยิงอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แต่น่าเสียดายที่รอบนี้พวกเขาต้องจบด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่ม ถึงจะยันเสมอ สเปน มาได้ในเกมที่ 2 ด้วยรูปเกมที่เป็นรองแบบสุดๆ แต่เกมแรกการเจอกับ สโลวาเกีย จัดว่าน่าเสียดายสุดๆ เพราะชื่อชั้นและศักยภาพทีมไม่ได้หนีกันเลย พวกเขามีความสามารถมากพอในการเอาชนะได้ แต่การโดนใบแดงของ เกรเซกอร์ซ ครีโชเวียค มันทำให้เกมเปลี่ยน และนำมาซึ่งการเสียประตูที่ 2 ในที่สุด
อย่างเกมล่าสุดที่เจอกับ สวีเดน ต้องบอกเลยว่า โปแลนด์ ครองบอลได้มากกว่า และมีโอกาสเข้าทำที่เหนือกว่า มีโอกาสได้ซัดแบบเน้นๆ ให้เห็นมากกว่า สวีเดน แต่ก็นั่นแหละ เมื่อพวกเขาไม่มีความเด็ดขาดและความเฉียบคมที่มากพอ พวกเขาก็ต้องแพ้ภัยตัวเองไป เพราะทาง สวีเดน ได้ 2 ประตูจาก เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ทั้งที่รูปเกมเป็นรอง ถึงจะมีลูกฮึดตามตีเสมอได้ 2-2 มาจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แต่ยังไง โปแลนด์ ก็ไม่สามารถเก็บแต้มจาก สวีเดน ได้ เพราะ วิคตอร์ แคลสสัน มายิงประตูชัย 3-2 ช่วงทดเจ็บ สุดท้ายก็ต้องตกรอบไปด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่ม นับเป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขาต้องฝันสลายอีกครั้ง
ส่วน เลวานดอฟสกี้ แม้ว่าทีมจะตกรอบ แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพอันสุดยอดอย่างแท้จริง ทีมสภาพนี้ พี่แกยังซัดได้ถึง 3 ประตู ขอบสนาม ขอคารวะครับผม