ข่าวฟุตบอล ลิเวอร์พูล เชลชี

   ก่อนที่เราจะเข้าเนื้อหา ขอ standing ovation ปรบมือสดุดีให้ทั้ง เชลซี และ ลิเวอร์พูล ที่เรียกได้ว่าช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ให้เป็นรอบชิงที่น่าจดจำเกมหนึ่งเอาไว้ร่วมกัน

   การที่ทุ่มเททั้งแรงกายและใจหาผู้ชนะด้วยการยิงจุดโทษเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเกมที่เปิดแลกตลอด 120 นาทีจนทำให้แฟนบอลของทั้งสองทีมเครียดไปตามๆกัน

บรรดาแฟนหงส์แดงอาจจะถอดใจไปแล้วราวๆ 60% หลังเห็น โธมัส ทูเคิ่ล ส่ง เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ลงมาเพื่อดวลจุดโทษ

มันเป็นจิตวิทยาขู่นักเตะ “หงส์แดง” ทุกคนเพราะผู้รักษาประตูวัย 27 ปีต้องยอมรับเลยว่สเก่งในเรื่องการอ่านหน้าเท้าเซฟจุดโทษจนช่วยให้ เชลซี สามารถคว้าแชมป์ ซูเปอร์ คัพ เมื่อปีที่แล้ว

   และอีกอย่างคือมีความเชื่อว่าตัวนักเตะเองก็อยากแก้ตัวหลังเคยดราม่าที่เคยไปขัดคำสั่งทาง เมาริซิโอ ซาร์รี่ อดีตผู้จัดการทีมที่รอเปลี่ยน วิลลี่ คาบาเญโร่ ลงดวลจุดโทษกับ แมนฯซิตี้ ในรายการเมื่อปี 2019 นี้ก่อนที่ทีมจะแพ้ไปในที่สุด

   แต่ผิดแผนตรงที่ว่าการยิงจุดโทษยืดเยื้อจนถึงคิวผู้รักษาประตู กลายเป็นว่า เกป้า กลับกลายที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบทันทีเนื่องจาก “ลูกหมี” ควีวิน เคลเลเฮอร์ เคยเป็นกองหน้ามาก่อน(ตอนอายุ 14) ซึ่งแน่นอนเล่นบอลด้วยเท้าดีกว่าอยู่แล้ว (แถมถนัดทั้ง 2 ข้างอีกต่างหาก) และที่สำคัญที่สุดน้องแกดันยิงเข้าไปก่อนด้วย ดังนั้นความกดดันที่ต้องยิงเข้าเพื่อต่อชีวิตกับตำแหน่งผู้รักษาประตู มันก็เลยดูเป็นเรื่องที่ขออะไรมากกว่านี้ก็ไม่ได้และคงกล่าวโทษอะไรไม่ได้เช่นกัน

   โดยส่วนตัวคิดว่าหาก เกปา ยิงจุดโทษเข้าแล้วยื้อกันไปเรื่อยๆฝั่งที่ได้เปรียบน่าจะเป็น “สิงห์บลู” เพราะ เคลเลเฮอร์ โดนหลอกง่ายมาก พุ่งแบบเข่าอ่อนหลงทางแทบทุกลูก และในเมื่อผลลัพท์ออกมาเช่นนี้ เกปา อาจจะต้องใช้เวลา “ฮีล” ตัวเองอีกสักระยะหนึ่งแน่นอน เพราะปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าอีกนัยนึงอดีตประตู แอธเลติก บิลเบา ลงสนามมามอบแชมป์ให้ “หงส์แดง” แต่หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเวลาปกติ นี่คือเกมที่เรียกได้ว่าผิดธรรมชาติเอามากๆที่ผลจะจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ในเกมที่เปิดเกมแลกกันจนคนดูเหนื่อยตลอด 120 นาที

   บรรดาแฟนบอลของทั้งสองทีมอาจได้นอนไวไม่เป็นภาระสภาพร่างกายไปนานแล้วหาก เมสัน เมาท์ เปลี่ยนโอกาส 2 ครั้งจะแจ้งให้เป็นประตูได้ อย่างน้อยๆก็คงต้องมีซักลูกจากจังหวะหลุดล้ำหน้าไปดวลเดี่ยลในนาที 49 คือยิงกี่ครั้งมันต้องเป็นประตูแล้ว รวมไปถึงการเช็ก VAR ประตูของ โรเมลู ลูกากู ในนาที 98 คงต้องบอกเลยว่าเป็นช็อตลุ้นระทึกของทางแฟน เดอะ ค็อป จริงๆเพราะดูในครั้งแรกยังไงก็ไม่มีทางล้ำหน้า ลูกนี้ถ้าขึ้นเส้นเขียวคือ “สิงห์บลู” แชมป์แน่ๆครับในสภาพทั้ง 2 ทีมแทบจะหมดแรงเล่นกันแล้ว

   ชื่อของ เมนดี้ กำลังเป็นประเด็นที่แฟนบอลเอามาถกกันหลังเกมเพราะวันนี้แกลงยันต์กันเหนียวได้ช่วยชีวิตทีมเอาไว้ได้แบบเหลือเชื่อจริงๆไม่ว่าจะเป็นลูกนอนเซฟจ่อๆของ ซาดิโอ มาเน่ ในนาที 30, ปัดลูกโหม่ของ เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ เมื่อทีมพลาดแชมป์เพราะการพลาดของ เกปา จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีคำถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องเปลี่ยนเอาคนที่เด่นที่สุดออกเพื่อความหวังลงมาแทน 

รอบชิงที่ใครแชมป์เหมาะสมเท่ากัน 1

   แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นธงที่ตั้งเอาไว้แล้วว่าหากถึงขั้นดวลจุดโทษ เกปา ต้องเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนั้น ทั้งสื่อและแฟนบอลควร respect การตกลงกันเองของทั้งผู้จัดการทีมและ 2 นักเตะเป็นอันสิ้นสุด

   ในความเป็นจริงแล้วเกมนี้ “หงส์แดง” ต่างหากที่มีโอกาสสวยๆนับครั้งได้คือนอกจาก 2 จังหวะข้างต้นที่ได้กล่าวไปแล้วก็มีลูกโหม่งของ โจเอล มาติ๊ป ที่ถูก VAR ริบ

   ส่วน openplay อื่นๆที่นึกไวๆกลับเป็นทาง หลุยส์ ดิอาซ ที่วันนี้เล่นดีสุดใน 3 ตัวบน (หลุดไปยิงกะให้ลอดดาก เมนดี้) ที่ตรงกันข้ามกับ โม ซาลาห์ ที่ถูก อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ปิดตายหายไปจากเกม และได้บอลน้อยมาก ยิ่งเล่นยิ่งหมดความมั่นใจ เลี้ยงบอลกระเด้งกระดอนติดๆขัดตลอด

   ในเมื่อดาวซัลโวและตัวแบกเล่นไม่ออก ตัวที่จะยิงก็แทบนับชื่อได้ว่าจะมีใครบ้าง ตัวรองลงมาที่ยิงเยอะที่สุดอย่าง ดิโอโก้ โชต้า ก็ไม่เต็ม 100 นั่งสำรอง ในเกมที่ใช้พละกำลังเยอะๆแบบนี้น่าเสียดายที่ ธิอาโก้ ก็ดันมาเจ็บตอนวอร์ม (ถึงขั้นร้องไห้) ทำให้วิชั่นการจ่ายบอลขวางและเปลี่ยนรุกเป็นรับไวๆแทบจะไม่มีเลย แถมยังมีช่องโหว่ตรงแดนมิดฟิลด์ซึ่ง นาบิล เกอิต้า เข้าบอลหลวมและช้าทำให้ถูกวางบอลข้ามหนีล้ำหน้าเหนื่อยแบ็คโฟว์หลายต่อหลายหน

   การเชียร์ “หงส์แดง” ในยุคนี้คุณต้องเหนื่อยมากกับการที่ต้องมานั่งลุ้นว่าจังหวะหลุดของตัวรุกฝั่งตรงข้าม “ล้ำหรือไม่ล้ำ” ถึงแม้ว่า % ไม่ล้ำมีมากกว่าแต่ถ้าล้ำคือหลุดถึงประตูซึ่ง “ลูกหมี” ยังอ่านเกมออกมาไม่เร็วเท่า อลิสซอน 

  และอีกอย่างคือแท็คติกส์ของ ทูเคิ่ล จะมาเหมือนกันทั้ง 2 ครึ่งคือต้นครึ่งแรกและครึ่งหลังจะให้เด็กๆเพรสสูงทำให้ “หงส์แดง” ขึ้นเกมลำบาก แต่พอผ่านไปซักระยะจะเริ่มถอยร่นเพื่อ “ล่อ” ให้ทางเซนเตอร์ของ หงส์แดง ดันสูงกินแดนขึ้นมาแล้วอาศัยตัวไวๆสวนกลับด้วยการวางบอลยาวขึ้นหน้า

   การที่ส่งทาง ติโม แวร์เนอร์ และ ลูกากู ลงมาพร้อมกันคือการวัดใจเพื่อนรักชาวเยอรมันที่อีก 6 นาทีต่อมาจึงต้องรีบเปลี่ยนเอา “ท่านรอง” เจมส์ มิลเนอร์ มาแทน เกอิต้า เพื่อต้องการที่จะชะลอกลางแทบจะทันที

   หากจะพูดว่าการได้ถ้วยเล็กสุดใน 3 ใบมันเหมือนไม่ยิ่งใหญ่อะไรแล้วนั้น แต่ถ้าหากได้ดูจากการห้ำหั่นกันของทั้ง 2 ทีมก็คงต้องบอกในตัวเองแล้วนะครับว่ายุคนี้ที่เป็นเงินเป็นทองกันไปหมดแล้ว การครองพื้นที่สื่อโซเชี่ยลเป็นการตลาดที่ทำเงินที่ดีที่สุด เงินรางวัลรายการนี้พูดตรงๆก็คือเศษเงินสมัยนี้ไปแล้วครับคือแชมป์ได้แค่ 100,000 ปอนด์ รองแชมป์แค่ 5 หมื่น (แชมป์ เอฟเอ คัพ 1.8 ล้านปอนด์)

   แต่อย่างที่กล่าวมาทีมที่ลงทุนเพื่อคว้าแชมป์มันมากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้นทุกปีแต่จำนวนโทรฟีย์แชมป์มันจะอยู่เท่าเดิมไปตลอด ทุกๆรายการจึงสำคัญเอามากๆ 

   หรือแม้กระทั่ง คอมมูนิตี้ ชิลด์ หรือ ชาริตี้ ชิลด์ ในชื่อเดิมที่เมื่อก่อนจะขนเด็กลงสนาม ปรองดองถึงขนาดให้ครองแชมป์ร่วมกันแต่สมัยนี้ต่างแย่งกันเพื่อ “เจิม” ไว้ในตู้เก็บในสโมสรกันทั้งนั้น

   ในแง่ของทางจิตวิทยา เชื่อว่าการได้แชมป์อาจจะส่งผลดีภายในทีม “หงส์แดง” ที่เหมือนถูกระตุ้นให้กระหายในการไล่ล่าอีก 3 แชมป์ที่เหลือเพราะพวกเขาเป็นทีมเดียวที่ยังได้ลุ้นแชมป์ 4 รายการ

   สำหรับ “สิงห์บลู” ในฐานะแชมป์สโมสรโลกพวกเขาสามารถเดินออกจากสนามโดยไม่ต้องก้มหน้าหรือหลบซ่อนสายตาใดๆ ทุกๆหยาดเหงื่อในเกมนี้แฟนบอลทุกคนล้วนแล้วมีแต่ความภาคภูมิใจ

รอบชิงที่ใครแชมป์เหมาะสมเท่ากัน 2

รูป www.thairath.co.th, today.line.me, www.90min.com

เนื้อข่าว www.soccersuck.com

ข่าวบอลล่าสุด