จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูโร 2020 หนนี้ และเราก็ได้ 8 ชาติสุดท้ายมาแล้ว ซึ่งประกอบไปด้วย เดนมาร์ก, อิตาลี, เช็ก, เบลเยี่ยม, สเปน, สวิตเซอร์แลนด์, อังกฤษ และ ยูเครน ซึ่งรอบ 16 ทีมที่ผ่านมามีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลย
แชมป์โลกร่วงตกรอบ
ถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่ช็อคโลกไม่น้อยที่แชมป์โลกชาติล่าสุดที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ล้นทีมอย่าง ฝรั่งเศส ต้องกระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไป ด้วยน้ำมือของ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา ทั้งๆ ที่ทัพ “ตราไก่” ควรจะปิดเกมได้แล้ว เพราะแซงนำได้ 3-1 แล้วเหลือเวลาอีกแค่ 10 นาทีสุดท้าย แต่ก็ดันมาพลาดท่ากันเอง โดนยิง 2 ลูกรวด จบ 90 นาที เสมอกัน 3-3 ใจเริ่มฝ่อ
ช่วงต่อเวลาพิเศษก็พยายามแล้วที่จะบุกกดดันใส่ สวิตซ์ หวังสะกิดยิงขึ้นนำอีกครั้ง แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ต้องย้ายกันไปดวลจุดโทษตัดสิน ซึ่งยิงดีกันหมดทั้ง 4 คนแรก แต่คนสุดท้ายของฝรั่งเศส คีเลียน เอ็มบัปเป้ วัยรุ่นปารีส ที่ฟอร์มตกมาทั้งเกมนี้ แบกรับคงามกดดันไม่ไหว ยิงจุดโทษไปติดเซฟของ แยน ซอมเมอร์ ส่งผลให้ทัพ “ตราไก่” พ่ายไปในการดวลจุดโทษตัดสิน ร่วงตกรอบไปแบบพลิกความคาดหมาย
ฮอลแลนด์ พลิกแพ้
หลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแบ่งกลุ่ม เก็บ 9 คะแนนเต็มจากการชนะรวด 3 นัด ฮอลแลนด์ แดนกัญชา ก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเต็งชาติต้นๆ ที่จะคว้าแชมป์ยูโรหนนี้ไปครอง พร้อมทั้งลบคำสบประมาทที่ว่าเป็น “ราชันไร้มงกุฏ”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาดันพลิกแพ้ให้กับคู่แข่งที่ชื่อชั้นอ่อนด้อยกว่าอย่าง สาธารณรัฐเช็ก ที่จบด้วยอันดับ 3 ของกลุ่มดี ไปแบบหมดรูป 2-0 ประตู ทั้งที่ควรได้ประตูขึ้นนำก่อนจากการหลุดเดี่ยวไปของ ดอน เยลล์ มาเล่น แต่ก็ไปโชว์ล็อตหลบโกลล์แต่ไม่ผ่าน แล้วสุดท้าย “อัศวินสีส้ม” ก็พลาดเองจากจังหวะที่ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ไปพลาดล้มแล้วใช่มือคว้าบอล ผู้ตัดสินดู VAR แล้วควักใบแดงไล่ออกจากสนาม ในนาทีที่ 52
หลังจากโดนใบแดง เกมของ ฮอลแลนด์ ที่ดูเหนือกว่านิดๆ ก็เริ่มตกเป็นรอง เช็ก ทำเกมรุกบุกเข้าใส่ได้น่ากลัวมากขึ้น จนสุดท้ายนาทีที่ 68 ก็ได้ประตูขึ้นนำจากลูกโหม่งของ โทมัส โฮเลส ก่อนจะมาได้ประตูฝังในนาทีที่ 81 จาก พาทริค ชิค ซึ่งเป็นประตูที่ 4 ของเจ้าตัวในทัวร์นาเม้นท์นี้แล้วด้วย. .. จบเกม 90 นาที ฮอลแลนด์ พลิกล็อคแพ้ เช็ก ร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไป
เยอรมันและ โยกี้ เลิฟ
ทัวร์นาเม้นท์นี้ เยอรมัน อาจจะเป็นชาติยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ค่อยได้เครดิตมากสักเท่าไหร่ เพราะเป็น “อินทรีเหล็ก” ยุคเปลี่ยนถ่ายเลือดนักเตะ ดาวรุ่งวัยรุ่นหน้าใหม่ถูกเรียกติดทีมชาติกันมากขึ้น
แต่ด้วยความที่เป็นทัวร์นาเม้นท์ทิ้งท้ายของ โยอาคิม เลิฟ เฮดโค้ชผู้คุมทัพ “อินทรีเหล็ก” มานาน 15 ปี บวกกับฟอร์มอันร้อนแรงในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่แซงชนะ โปรตุเกส 4-2 ประตู ก็ทำให้ชื่อของพวกเขา ถูกคาดหวังให้เป็นตัวเต็งเบอร์ต้นๆ อีกครั้ง
ทว่าสุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน เพราะในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็ดันมาเจอกับอีกหนึ่งชาติตัวเต็งที่ก็รอความสำเร็จมานานนมอย่าง ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งก็เป็นทัพ “สิงโตคำราม” ที่ทำได้ดีกว่าสอนบอล “อินทรีเหล็ก” ไป 2-0 จาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในนาทีที่ 75 และประตูเปิดซิงของ แฮร์รี่ เคน ในทัวร์นาเม้นท์นี้ในช่วงท้ายเกม เขี่ยเยอรมันตกรอบไป พร้อมปิดฉาก โยกี้ เลิฟ แบบไม่สวยงามนัก
ต่อเวลาถึง 4 คู่
หากไม่นับเรื่องของการที่ต้องนอนดึกนอนดื่นขึ้น รอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูโรหนนี้ ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักฟุตบอลเลยทีเดียว เพราะเล่นกันได้สนุกสูสีแทบทุกคู่ และมีการต่อเวลาพิเศษลากยาวต่ออีก 30 นาทีถึง 4 คู่ และยื้อถึงดวลเป้าตัดสิน 1 คู่ เรียกได้ว่าครึ่งๆ เลยทีเดียว
โดยทั้ง 4 คู่ก็ประกอบไปด้วย อิตาลี ที่ไว้ลายยิง 2 ลูกช่วงต่อเวลาเอาชนะ ออสเตรีย ไปได้ 2-1 ประตู ต่อด้วย สเปน ที่โดน โครเอเชีย ยิงท้ายเกมตามตีเสมอเป็น 3-3 แต่ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ด้วยการยิง 2 ลูกในช่วงต่อเวลา เอาชนะไปได้ 5-3
นัดถัดมาก็เป็นการพลอกล็อคของ ฝรั่งเศส ที่เราเล่าไปแล้วว่ามาพลาดโดน สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา รัว 2 เม็ดท้ายเกมจบ 90 นาทีเสมอ 3-3 ต่อเวลาพิเศษ ฝรั่งเศส ก็ทำอะไรไม่ได้ ลากไปถึงยิงจุดโทษแล้ว เอ็มบัปเป้ ก็ยิงพลาด แชมป์โลกร่วงตกรอบ
นัดสุดท้ายที่ต้องต่อเวลา ก็มาในนัดสุดท้ายของศึกยูโรรอบ 16 ทีมนี่แหละ เป็นเกมสุดมันส์ระหว่าง สวีเดน กับ ยูเครน จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ต่อเวลาพิเศษ ก็ทำท่าว่าจะไม่มีอะไร อาจต้องไปดวลจุดโทษ แต่แล้วนาทีที่ 120+1 โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ากรอบเขตโทษ อาร์เตม ดอฟเบียค พุ่งโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย กลายเป็นประตูชัยในนาทีบาปส่งผลให้ ยูเครน ถีบ สวีเดน ร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปในที่สุด และประตูของ ดอฟเบียค ก็เป็นประตูที่ทำได้ช้าสุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลยูโรอีกด้วย และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่น่าสนใจในรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกยูโรหนนี้
