เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอมรับว่าความผิดพลาดสองครั้ง ของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ทำให้ทีมเปิดบ้านแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดล่าสุด แต่ยังก็พร้อมหนุนและให้กำลังใจปราการด่านสุดท้ายรายนี้ต่อไป
บิ๊กแม็ตช์เกมนี้ มาสนุกในครึ่งหลัง โดยมีจุดเปลี่ยนเมื่อ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูที่เพิ่งหายป่วย มาเตะเปิดเกม และเล่นบอลยาก เป็นผลนำมาซึ่งทำให้ “หงส์แดง”เสียประตูที่ 2 และ 3 ก่อนจบด้วยการแพ้ไปแบบขาดลอย 1-4 ทั้งที่ครึ่งเวลาแรกเสมอกัน 0-0
“ส่วนใหญ่ของเกมนี้เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมจากทีมผม ผมได้เห็นสายตาของคุณ คุณเห็นต่างออกไป”
“ผมชอบมันนะ ครึ่งแรกเราเล่นฟุตบอลกันได้ดี ครึ่งหลัง ซิตี้ เปลี่ยนระบบเล็กน้อย มีการปรับแก้ และเราก็อยู่ในเกมอีกครั้ง แต่ในช่วงออกสตาร์ทครึ่งหลัง เราไม่ได้ให้ทางเลือกในการเล่นมากพอ และเสียประตูแรกไป”
“เราเปิดโอกาสให้พวกเขามากเกินไป พวกเขาทำประตูนั้น เราตามตีเสมอ เราทำได้ดีอีกครั้ง แต่จากนั้นก็เกิด 2 ความผิดพลาดครั้งใหญ่ซึ่งมันชัดเจน กับสกอร์ 3-1 ในการเล่นระดับนี้มันยากที่จะทำได้ และจากนั้น โฟเด้น แสดงความอัจฉริยะกับประตูที่สี่”
“ถ้าเราเล่นฟุตบอลอย่างที่เคยทำมานาน คืนนี้เราจะคว้าชัยชนะ 100%” คล็อปป์ เผย
ขณะเดียวกัน กุนซือชาวเยอรมัน ได้เปิดเผยถึงความผิดพลาดของผู้รักษาประตูมือ 1 อย่าง อลีสซง ที่ทำผิดพลาดในเกมนี้ จนเป็นจุดเปลี่ยนให้ทีมพบความพ่ายแพ้
“มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกันที่เราไม่ได้ให้ทางเลือกเขามากนัก โดยเฉพาะลูกแรก ลูกสอง ใช่ อลีสซง เตะบอลไม่ดี บางทีเท้าเขาอาจจะเย็น มันฟังดูตลก แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์ เขาเซฟช่วยทีมหลายครั้ง ไม่ต้องสงสัยเรื่องนั้น คืนนี้ อลีสซง ผิดพลาด”
อย่างไรก็ตามการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ยังสร้างสถิติไม่น่าจดจำให้ ลิเวอร์พูล โดยถือเป็นการแพ้คาบ้านในเกมพรีเมียร์ลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี
ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีสถิติการเล่นในบ้านสุดแข็งแกร่ง ไม่แพ้ใครยาวนาน 68 นัดติดต่อกันในลีก ก่อนถูกหยุดสถิติหลังพลิกพ่ายต่อ เบิร์นลีย์ 0-1
จากนั้นลูกทีมของ คล็อปป์ เสียท่าต่อเนื่องโดน ไบรท์ตัน บุกมาชนะ 1-0 ต่อด้วยนัดล่าสุดโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จัดการอัด 4-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้แพ้คาบ้าน 3 นัดติดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1963 หรือ 58 ปี
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นแชมป์เก่าทีมแรกในรอบ 65 ปีที่แพ้ในบ้าน 3 นัดติด หรือนับตั้งแต่ เชลซี เคยหลุดทำสถิติเลวร้ายนี้เมื่อปี 1956
Credit. ดัมมี่ออนไลน์