เรียกได้ว่าเป็นเกมที่สนุก และลุ้นกันทุกวินาทีเลยกว่าได้ เป็นเกมที่ดุเดือด และมีจุดเปลี่ยนมากในเกม ซึ่งคงไม่เกินเลยอะไรหากจะพูดว่า นัดล่าสุดที่บุกชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นอีกเกมที่อยู่ในระดับ 5 ดาว
อย่างที่ ราล์ฟ รังนิก กล่าวหลังจบเกมไปว่าหากคุณไม่ใช่ผู้จัดการทีมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ลีดส์ คงจะได้รับความมันเต็มอรรถรส เพราะเกมสนุกตลอด 90 นาทีที่ลงสนาม
เป็นไปตามที่เทรนเนอร์ชาวเยอรมันได้กล่าวไว้นั่นแหละ เพราะทั้งสองทีมเปิดศึกใส่กันตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกในสนามดังขึ้น ยิ่งมีศักดิ์ศรีของทั้งคู่เป็นเดิมพันบวกกับพวกแฟนบอลในสนามที่คอยปลุกเร้าอารมณ์ในทุกจังหวะทำให้ความเดือดทวีคูณขึ้นไป
45 นาทีแรกเป็นของทางฝั่ง ปิศาจแดง ที่พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมที่ดีกว่า ยูงทอง เพราะทางเจ้าบ้านก็มีโอกาสจบสกอร์งามๆ อยู่เหมือนกัน แต่จังหวะที่ว่าดันยิงนกตกปลาไม่ก็เหินข้ามคานออกไปเสียเอง
ต่างจาก ผีแดง ที่สามารถฉวยโอกาสจากลูกตั้งเตะซึ่งในช่วงหลังที่ผ่านมามักจะโดนวิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะเตะมุมที่หาความน่ากลัวหรือหวังประตูไม่ได้เลย แต่ทีมดันออกนำจากลูกดังกล่าวแถมคนโขกยังเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่กำลังโดนกระแสปลดจากตำแหน่งกัปตันทีม
จะว่าไปแล้วประตูแรกในนัดที่ผ่านมาเป็นจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะเจาะอย่างมาก ผ่านการเตะมุมไป 138 ครั้งก่อนจะมาลบสถิติอันเลวร้ายในเกมดวลอริไม่เผาผี และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกมดำเนินมาถึงปลายครึ่งแรก
ประตูที่เกิดขึ้นยังเป็นประตูที่ปลดล๊อคแรงกดดันของทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะหลังจากนั้นทีมก็สามารถทำประตูได้จากการต่อเกมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งต้องปรบมือชม วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ที่พาตัวเองขึ้นไปก่อนจะเปิดพื้นที่ให้ เจดัน ซานโช่ ถวายพานต่อ บรูโน่ แฟร์นันด์ส โขกไม่เหลือ ถือได้ว่าเป็น 45 นาทีแรกที่ ผีแดง สามารถทำได้จะแจ้งและสมควรออกนำ ซึ่งหากพิจารณาถึงโอกาสนอกเหนือจากนั้นทีมน่าจะทำประตูได้เพิ่มมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำไป
ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่รอยยิ้มที่อาบหน้าแฟนบอลค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อลงสนามในครึ่งหลังได้ไม่กี่นาที คล้ายกับว่าเรื่องราวน่าขนลุกและหวาดหวั่นกำลังจะกลับมาหลอกหลอนทาง รังนิก และลูกทีมของเขาอีกครั้ง จากการที่มีประตูที่เหนือกว่า 2 ประตูแต่กลับมาโดนตีเสมอในเวลาเพียงแค่ 70 วินาทีเท่านั้น
ภาพหลอนในอดีตกลับมา เพราะก่อนหน้านี้อย่างที่ทราบกันดีว่า ปิศาจแดง ทำผลงานในครึ่งแรกได้ดีเมื่อไหร่ ครึ่งหลังก็เตรียมรอพบกับหายนะได้เลย
ไม่แปลกที่ความกังวลใจนี่จะเข้าครอบงำแฟนบอล เพราะหากดูจากสกอร์และรูปเกมที่เหนือกว่า แต่มันแปรเปลี่ยนไปในเวลาเพียงแค่นาทีเศษ และหลังจากนั้นก็กลายเป็นเหมือนว่า ลีดส์ จะคึกคักตามเสียงเชียร์กดให้ ผีแดง ต้องคอยตั้งรับและระส่ำไปพักหนึ่ง
อันนี้ก็ต้องชม มาร์เซโล่ บีเอลซ่า ที่คงเข้าไปจวกแข้งยูงทองในช่วงพักครึ่งเสียยกใหญ่ เพราะการกลับมาลงสนามในครึ่งหลังนักเตะเจ้าบ้านเปลี่ยนไปทันทีดูมุ่งมั่นตั้งใจกว่า 45 นาทีแรก บวกกับสาวก ลิลลี่ ไวท์ส ที่คอยหนุนหลังด้วยเสียงเชียร์ มันจึงส่งผลไปยังความฮึกเหิมและความกระหายเพิ่มมากขึ้นอย่างที่เห็น
แต่ผลลัพธ์ในเกมที่ผ่านมาดันแตกต่างออกไปจากเดิม ส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณสองนักเตะตัวสำรองทั้ง เฟร็ด และ แอนโธนี่ เอลังก้า ที่ลงไปเปลี่ยนเกมทำคนละหนึ่งประตูช่วยให้ทีมคว้า 3 คะแนน ที่สำคัญต้องให้เครดิตกับสองแนวรุกอย่าง ซานโช่ และ บรูโน่ ที่ทำได้ผลงานยอดเยี่ยม โดยทั้งสองคนรวมกันได้ 1 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ (บรูโน่ 1 ประตู 1 แอสซิต์ และ ซานโช่ 2 แอสซิสต์)
เมื่อผลลัพธ์แตกต่างออกไปจากที่ผ่านมา ความมั่นใจจึงเพิ่มขึ้นก่อนเกมสำคัญกลางสัปดาห์นี้ที่จะยกพลออกไปเยือน แอตเลติโก มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
นับได้วาาเป็นช่วงเวลาอันเหมาะเจาะในการเรียกผลงานพร้อมความมั่นใจก่อนเกมใหญ่บุกรังหมี หลังจากที่ทีมทำผลงานได้ค่อนข้างน่าผิดหวังจนโดนถล่มหนัก แต่ 2 เกมที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ก็สามารเก็บได้ 6 คะแนนเต็มในลีก
ถึงแม้ว่าฟอร์มการเล่นโดยรวมยังคงมีจุดให้แก้ไข แต่สำหรับ รังนิก เขากลับมองว่ามันคือการเติบโตของลูกทีมโดยเฉพาะทัศนคติที่แสดงออกมาให้เห็น เมื่อนำไปเทียบกับก่อนหน้านี้จะเห็นได้เลยว่าหลังจากที่ทีมโดนตีเสมอนักเตะเริ่มแสดงออกทางสีหน้า และเมื่อเวลาผ่านไปดูจะร้อนรนและเร่งเกมจนเสียจังหวะ
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เห็นจากนัดที่ผ่านมาแตกต่างออกไป ในส่วนหนึ่งเลยก็มาจากตัวสำรองที่ลงไปแล้วสามารถสร้างผลกระทบทันที และอีกจุดที่สำคัญคือเกมบุกที่ดูนิ่งขึ้นโดยเฉพาะ ซานโช่ ที่นับวันเริ่มที่จะแสดงพิษสงออกมาให้เห็นมากขึ้น ทั้งการจ่ายบอล ลากเลื้อย หรือประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม
เรื่องดังกล่าว รังนิก ยอมรับหลังจบเกมตรงๆ เลยว่า 2 ประตูในครึ่งหลังคือการแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและเล่นร่วมกันของลูกทีม เพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก็อย่างที่ทราบกันว่าทีมมีปัญหาเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
ที่สำคัญไปกว่านั้นและเป็นเรื่องเทรนเนอร์รักษาการย้ำเสมอคือการที่ต้องรักษาความต่อเนื่องเช่นนี้ให้ดำเนินไปเรื่อยๆ ฟุตบอลในยุคปัจจุบันที่ลงสนามแทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพัก ปัจจัยสำคัญที่จะประสบความสำเร็จหรือไปยังเป้าหมายที่วางไว้คือการทำงานให้คงเส้นคงวาและต่อเนื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้กำลังจะถูกพิสูจน์อีกครั้งในเกมวันพุธ ซึ่งมันคือการแข่งขันที่สำคัญของทั้งนักเตะ, กุนซือ, แฟนบอล และสโมสร เพราะหากมองความเป็นได้นี่คือรายการที่ทีมยังพอมีลุ้น (แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ)
ชัยชนะในลีก 2 นัดที่ผ่านมาจะช่วยผลักดันผลงานให้เดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ วันพุธนี้คงได้ทราบกัน
รูป www.independent.co.uk, wiseloaded.com, www.manutd.com
เนื้อข่าว m.thsport.com