ริชาร์ด มาสเตอร์ส ประธานบริหารของพรีเมียร์ลีก เปิดเผยว่าบรรดาผู้เล่นจะยังคุกเข่าก่อนเกมเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการเหยียดผิวต่อไปอย่างน้อยจนจบฤดูกาลนี้ และอาจจะทำต่อในฤดูกาลหน้าด้วยเช่นกัน ขณะที่ วิลเฟร็ด ซาฮา แนวรุกของทีม คริสตัล พาเลซ กลายเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกรายแรกที่ไม่ยอมคุกเข่าก่อนเกมเริ่ม
นักเตะและผู้ตัดสิน ได้มีการเริ่มคุกเข่าก่อนการแข่งเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อต้านการเหยียดผิวตั้งแต่ช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา จากการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งในเรื่องนี้ ซีอีโอพรีเมียร์ลีก เตรียมปรึกษาให้การแสดงออกตรงนี้เกิดขึ้นต่อไปในฤดูกาลหน้า
“มันเป็นการแสดงจุดยืนสุดยิ่งใหญ่ที่นำโดยเหล่านักเตะ พวกเราใช้เวลาไปมากในการพูดคุยกับเหล่าผู้เล่น มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด”
“กลับไปตอนโปรเจคต์รีสตาร์ท เมื่อเราได้พูดคุยกับเหล่าผู้เล่น พวกเขาต้องการแสดงออกถึงความขอบคุณต่อ เอ็นเอชอาร์ ( หน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติ) และผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงแสดงจุดยืนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงหน้าร้อนปีที่แล้วด้วยเช่นกัน”
“พวกเรายินดีสนับสนุนเหล่านักเตะ บางทีมันอาจจะเป็นครั้งแรกที่พรีเมียร์ลีก, สโมสร และเหล่านักเตะเห็นตรงกันในประเด็นสำคัญ”
“การต่อต้านการเลือกปฏิบัติเป็นพันธกิจของเรา สัปดาห์ที่แล้วเพิ่งมีการประกาศแคมเปญ ‘No Room for Racism’ (ส่งเสริมความเท่าเทียมกัน) ของเราออกไป แต่โชคไม่ดีที่เราต้องพึ่งบริษัทโซเชี่ยลมีเดีย ในการกำจัดการเหยียดผิวบนออนไลน์”
“เราจะได้เห็นข้อความต่อต้านการเหยียดผิวบนเสื้อของนักเตะมากขึ้นในช่วงที่เหลือของซีซั่น และจะยังคงคุกเข่าก่อนเกมต่อไปจนจบซีซั่นนี้”
“มันไม่เคยเป็นคำสั่ง มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกเองล้วนๆ พวกเรามีความเห็นตรงกันอย่างพร้อมเพรียงจนถึงตอนนี้ และผมคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไป”
“เราจะปรึกษากับเหล่านักเตะในช่วงปิดฤดูกาลว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อแสดงความรู้สึกที่ชัดเจนของพวกเรา กับการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อไปจากนี้”
อย่างไรก็ตามล่าสุดก่อนเกมที่ คริสตัล พาเลซ จะเปิดบ้านชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-0 เมื่อคืนที่ผ่านมา วิลเฟร็ด ซาฮา แนวรุกของทีม คริสตัล พาเลซ กลายเป็นแข้งพรีเมียร์ลีกรายแรกที่ไม่ยอมคุกเข่าก่อนเขี่ยบอล โดยดาวเตะวัย 28 ปี ให้เหตุผลที่ไม่ยอมคุมเข่าก่อนเกมเพื่อรณรงค์ต่อต้านการเหยียดผิว ว่าตัวเขาเองนั้นมองว่ามันไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะเวลานี้นักเตะบางคนนั้นก็ยังถูกเหยียดผิวอยู่เช่นกัน