อาจจะเป็นช่วงที่ฟอร์มการเล่นร้อนแรงสุดๆ สำหรับซาดิโอ มาเน่ ดาวยิงของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ฤดูกาลนี้ ตัวเขาทำประตูรวมทุกรายการไปแล้ว 13 ประตู โดยแบ่งออกเป็นพรีเมียร์ลีก 11 ลูก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ลูก นี่ยังไม่รวมผลงานระดับทีมชาติ ที่สามารถพาเซเนกัล ผงาดคว้าแชมป์รายการ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย
ช่วงนี้มาลองย้อนกลับไปดูเส้นทางลูกหนังของ มาเน่ กันสักหน่อย ซึ่งตัวเขานั้นก็เหมือนกับเด็กชายชาวแอฟริกัน ทั่วไป ที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน และมีความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เพราะว่า นี่คือหนทางอีกทางาี่จะช่วยให้การยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเอง และครอบครัวให้ดีขึ้น เพียงแต่ในเส้นทางของเขา ต้องมาพบกับแบบทดสอบอย่างมากมาย
ย้อนเวลากลับไป มาเน่ เกิด และเติบโตที่เมืองเซดิอู ประเทศเซเนกัล และเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า นี่คือดินแดนที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และความยากจน อย่างไรก็ตาม ตัวเขานั้นก็มีความสุขกับตัวเอง ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ฟุตบอล”
มาเน่ เริ่มเล่าว่า “ผมอาศัยอยู่ในเมือง และวิ่งเล่นไปตามท้องถนน ตั้งแต่ผมอายุ 2-3 ขวบ ผมก็จำได้ว่ามีลูกบอลติดตัวอยู่เสมอ ผมเห็นเด็กคนอื่นวิ่งไล่หวดลูกหนังกันตามท้องถนน ผมก็ไปร่วมวงด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นของผมเลยล่ะ แค่ไปอยู่บนท้องถนน เมื่อผมเติบโตขึ้นมา ผมชอบดูเกมที่ทีมชาติเซเนกัล ลงแข่งขัน ผมอยากเห็นฮีโร่ของผม และจินตนาการว่า ผมเป็นนักฟุตบอลเหมือนพวกเขา”
“บางครั้งผมก็โดดเรียน เพื่อออกไปเตะบอลกับเพื่อนตามท้องถนน ครอบครัวของผมเคร่งในเรื่องศาสนา ไม่ค่อยมีใครชื่นชอบฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหล่ะ” มาเน่ ได้เล่าย้อนความทรงจำของเขาต่อไป
พร้อมกับยังบอกอีกว่า นอกจากจินตนาการ สำหรับการเป็นนักเตะทีมชาติเซเนกัล ตัวเขายังมีอีกหนึ่งความฝันที่เขาอยากลงมือทำให้สำเร็จ นั่นคือการพาตัวเองไปเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สักครั้งในชีวิต โดยได้พูดเสริมว่า “ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมคิดถึงแต่ศึกพรีเมียร์ลีก เท่านั้น ผมเฝ้าติดตามการแข่งขันผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และนี่คือความฝันสูงสุดเลย”
กระทั่งตัวเขาอายุ 15 ปี มาเน่ ตัวเขาได้ออกเดินทางขึ้นไปทางเหนือ เป็นระยะทางกว่า 500 ไมล์ มุ่งหน้าไปยังที่ดาการ์ เมืองหลวงของประเทศ พร้อมกับมีการทดสอบฝีเท้าเป็นเดิมพัน อย่างที่เราได้กล่าวไป ตัวเขานั้นต้องแบกความเสี่ยงไว้อย่างมาก เพราะว่าทางครอบครัวของเขาไม่คอยจะเห็นด้วยกับการเล่นฟุตบอล โดยมองว่าเป็นอาชีพที่ประสบความสำเร็จได้ยาก ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และอยากเห็นเขามุ่งไปในเส้นทางอื่นมากกว่า
นักเตะวัย 29 ปี กล่าวว่า “เมื่อครอบครัวเห็นว่า ในสมอง และหัวใจของผมมีแต่ฟุตบอล ผมก็เริ่มโน้มน้าวให้พวกท่านปล่อยตัวผมไปดาการ์ ช่วงแรกนั้น ครอบครัวไม่เคยยอมรับเลยล่ะ แต่เมื่อเล็งเห็นความตั้งใจของผม พวกท่านก็กลับมาคอยช่วยเหลือ โดยเฉพาะคุณลุง”
“ผมออกจากบ้านเกิด และมุ่งหน้าไปเมืองหลวง โดยมีคุณลุงร่วมเดินทางไปด้วย เด็กจำนวนมากต่างมาทดสอบฝีเท้า ผมจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านี้ ซึ่งตอนที่ผมไปคัดตัว ชายสูงวัยคนหนึ่งมองมาที่ผม สายตาของเขาราวกับว่า ผมมาอยู่ผิดที่ผิดทาง”
“ชายคนนั้นถามผมว่า -นายมาที่นี่ เพื่อทดสอบฝีเท้าหรอ ?- ผมตอบกลับไปว่าใช่ ก่อนที่เขาจะถามต่อว่า -นายจะคัดตัวด้วยรองเท้าคู่นี้เนี่ยนะ ลองดูมันซิ นายจะเล่นฟุตบอลได้ยังไง ?- รองเท้าของผมเก่ามาก มันเก่าจริงๆ สภาพเข้าขั้นเลวร้ายสุดๆเลยแถมยังขาดวิ่นเป็นรูอีกต่างหาก ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะยิงคำถามมาอีกว่า -นายจะลงเล่นด้วยกางเกงตัวนี้แน่นะ ไม่มีกางเกงที่เหมาะสมกว่านี้แล้วหรือไง ?-”
“ผมตอบไปว่า ผมมาทดสอบฝีเท้า ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี ผมต้องการเล่นฟุตบอลเท่านั้น เพื่อแสดงความเป็นตัวเอง เมื่อผมก้าวขาลงสนามไป คุณจะเห็นว่า ชายคนนั้นแปลกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น เขากลับเดินมาบอกว่า อยากรับผมเข้าร่วมทีม จนผมได้รับเลือกเข้าอะคาเดมี่ในที่สุด ผมมองว่ามันยากมาก ไม่มีใครคอยผลักดันผม ในการบรรลุความฝัน แต่ผมไม่เคยทิ้งความฝัน ต้องอาศัยความกล้าหาญ ในการทิ้งครอบครัวที่หมู่บ้าน และมุ่งหน้าไปที่ดาการ์ กระนั้น ผมรู้ว่าตัวเองสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้”
นี้อาจจะเป็นเรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนคือ นั่นไม่ใช่การหนีออกจากบ้านเป็นครั้งแรก เพราะว่าในช่วงปี 2011 มาเน่ เขาได้ตัดสินใจออกไปผจญภัยด้านลูกหนังนอกประเทศเป็นครั้งแรก ด้วยการที่เขาเลือกที่จะไปเข้าร่วมทีมเม็ตซ์ ในฝรั่งเศส โดยที่แม่ของเขายังคิดไว้ว่า ลูกชายคนนี้ยังอยู่กับศูนย์ฝึกเยาวชนของทีมในบ้านเกิดที่เซเนกัล
การที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้นั้น ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาง่ายดาย ทุกคนต้องเดินหน้า และฝ่าฟันกับอุปสรรคซึ่งนั้นก็รวมไปถึงอีกหนึ่งปัจจัยอย่างการยอมรับจากครอบครัวด้วย โดย มาเน่ ก็ได้ขยายความถึงเรื่องนี้ว่า “ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมบอกเรื่องนี้กับคุณลุงเท่านั้น แต่สำหรับแม่แล้ว ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับท่าน”
“ผมจำไม่เคยลืม ถึงวันแรกที่สองขาเหยียบประเทศฝรั่งเศส ผมคิดว่าตัวเองจะได้ลงฝึกซ้อม ทว่าโค้ชกลับบอกให้ผมอยู่บ้าน !! ตอนนั้นผมไม่มีบัตรเครดิต เพื่อใช้เป็นค่าโทรกลับไปหาแม่”
“กระทั่งวันต่อมา, ผมออกไปกับเพื่อน เพื่อไปซื้อค่าโทร จากนั้นผมก็โทรหาแม่ และบอกกับท่านว่า -แม่ครับ ผมออกมาอยู่ฝรั่งเศส แล้วนะ- แม่พูดกลับมาว่า -ฝรั่งเศส อะไรของแก ?!?- เธอแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดเลย ผมเลยย้ำไปอีกครั้งว่า ผมออกมาอยู่ที่ฝรั่งเศส บนแผ่นดินยุโรป”
“แม่ยังไม่ยอมเชื่อ พร้อมกับพูดว่า -ยุโรปหรอ ? แกหมายความว่ายังไง แกอยู่เซเนกัล ไม่ใช่หรอ ?- ผมย้ำอีกรอบว่า ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดอีกแล้ว ผมออกมาอยู่ยุโรป แม่แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านคอยโทรหาผมทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่า มันคือความจริง ครอบครัวไม่ได้อยากให้ผมทำอาชีพใดอาชีพหนึ่งเป็นพิเศษ แต่พวกท่านก็ไม่อยากให้ผมเป็นนักฟุตบอล เพราะมองว่ามันเป็นการเสียเวลา และไม่คิดว่าผมจะทำมันสำเร็จด้วย”
วันนี้ ตัวเขานั้นสามารถพิสูจน์ให้แม่ และทุกคนในครอบครัวเห็นแล้วว่าฟุตบอล ไม่ใช่เรื่องของการเสียเวลา แต่เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ความฝัน” เป็นผลสำเร็จ
รูป www.beinsports.com, eftfootball.com, www.footballaddrict.com
เนื้อข่าว m.thsport.com